CFDs are complex instruments and come with a high risk of losing money rapidly due to leverage. 60% of retail investor accounts lose money when trading CFDs with this provider.

You should consider whether you understand how CFDs work and whether you can afford to take the high risk of losing your money.

Please be advised that our Client Portal is scheduled for essential maintenance this weekend from market close on Friday 5th April, 2024, and should be back up and running before markets open on Sunday 7th April, 2024.

เรายินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าเรากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการอัปเดต Client Portal เพื่อมุ่งเน้นที่จะปรับปรุงประสบการณ์ของคุณกับเรา
Client Portal จะไม่พร้อมให้คุณใช้งานตั้งแต่ตลาดปิดใน วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 และควรสำรองข้อมูลและทำงานก่อนตลาดเปิดให้บริการใน วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567

CFDs are complex instruments and come with a high risk of losing money rapidly due to leverage. 60% of retail investor accounts lose money when trading CFDs with this provider.

You should consider whether you understand how CFDs work and whether you can afford to take the high risk of losing your money.

Search
Close this search box.

ฝึกบริหารความเสี่ยงให้เชี่ยวชาญผ่านการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์

ลองมาสำรวจศิลปะของการปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโอ ความสำคัญของการกระจายการลงทุน และรายละเอียดของการกระจายการลงทุนข้ามหลายประเภททรัพย์สินกันครับ

เขียนโดย Aaron Akwu, หัวหน้าฝ่ายการศึกษา Hantec Markets

ในโลกของการเทรดฟอเร็กซ์ที่ผันผวน สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ มีความเสี่ยงอยู่เสมอ แต่อย่ากลัวไปเลย เหล่าเทรดเดอร์ผู้รอบรู้! ด้วยพลังของการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์ คุณจะสามารถล่องผ่านน่านน้ำที่คดเคี้ยวนี้ได้อย่างมั่นใจ ในคู่มือที่ครอบคลุมฉบับนี้ เราจะพูดถึงศาสตร์ของการปรับสมดุลพอร์ต ความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง และข้อมูลเจาะลึกของการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์ ดังนั้น รัดเข็มขัดและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการปฏิวัติกลยุทธ์การเทรดของคุณ!

สารบัญ
    Add a header to begin generating the table of contents

    ความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงในการเทรด

    1. ลดความเสี่ยง:

    การกระจายความเสี่ยงช่วยลดความเสี่ยงโดยการกระจายไปลงทุนในสินทรัพย์หรือประเภทสินทรัพย์ต่างๆ การไม่ใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียวจะช่วยลดผลกระทบจากการลงทุนที่ย่ำแย่โดยรวมในพอร์ตของคุณ การกระจายความเสี่ยงช่วยคุณหลีกเลี่ยงการขาดทุนที่ร้ายแรงได้หากคุณมุ่งความสนใจไปที่สินทรัพย์เดียวที่ประสบภาวะตกต่ำ

    1. ปรับความผันผวนให้ราบรื่นขึ้น:

    สินทรัพย์ที่แตกต่างกันจะมีระดับความผันผวนหรือการแกว่งของราคาในช่วงเวลาต่างๆ ที่แตกต่างกัน การกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ต่างๆ ด้วยภาวะผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่แตกต่างกันจะทำให้ความผันผวนโดยรวมในพอร์ตของคุณราบรื่นขึ้น เมื่อสินทรัพย์ประเภทหนึ่งประสบกับความผันผวนสูง สินทรัพย์ประเภทอื่นอาจยังคงค่อนข้างมีเสถียรภาพ ช่วยรักษาสมดุลจากความผันผวนในมูลค่าพอร์ตของคุณได้

    1. เพิ่มความสม่ำเสมอของผลตอบแทน:

    การกระจายความเสี่ยงสามารถนำไปสู่ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าสินทรัพย์แต่ละรายการอาจประสบกับช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าและด้อยกว่าที่ควร แต่พอร์ตการลงทุนที่หลากหลายสามารถให้ผลตอบแทนที่มั่นคงและคาดการณ์ได้มากขึ้นโดยการรวบรวมประสิทธิภาพโดยเฉลี่ยของสินทรัพย์ทั้งหมด สิ่งนี้ช่วยลดโอกาสที่จะประสบกับผลการลงทุนที่สูงและต่ำมากๆ ได้

    1. เปิดรับโอกาสที่หลากหลาย:

    สินทรัพย์และประเภทสินทรัพย์ตอบสนองต่อสภาวะตลาด แนวโน้มเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์แตกต่างกัน การกระจายพอร์ตการลงทุนจะทำให้คุณได้รับโอกาสในการลงทุนและแหล่งผลตอบแทนที่เป็นไปได้มากมาย สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมของตลาดที่แตกต่างกันและทำกำไรจากภาคส่วนหรือสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ดีในขณะที่ลดการขาดทุนในส่วนอื่นๆ ไปด้วย

    1. ป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบ:

    การกระจายความเสี่ยงสามารถปกป้องพอร์ตของคุณจากความเสี่ยงเชิงระบบที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหรือภาคส่วนทั้งหมดได้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเปลี่ยนแปลงด้านระเบียบข้อบังคับอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหรือประเภทสินทรัพย์ที่เฉพาะเจาะจงได้ ด้วยการกระจายสินทรัพย์ไปยังอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน คุณจะลดความเสี่ยงเชิงระบบเหล่านี้ และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตของคุณ

    1. รักษาความมั่งคั่งในระยะยาว:

    การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาและเพิ่มความมั่งคั่งในระยะยาว การทำให้พอร์ตมีความหลากหลายจะช่วยลดโอกาสที่จะประสบกับการขาดทุนอย่างหนักซึ่งอาจส่งผลต่อเป้าหมายทางการเงินของคุณ การกระจายความเสี่ยงช่วยปกป้องเงินทุนของคุณในช่วงขาลง และช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากผลผสานรวมของผลตอบแทนในการลงทุนเมื่อเวลาผ่านไป

    1. ผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยง:

    การกระจายความเสี่ยงช่วยให้การแลกกันระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยงของคุณดีขึ้น การสร้างสมดุลความเสี่ยงในสินทรัพย์ต่างๆ ช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงในพอร์ตของคุณได้ การกระจายความเสี่ยงช่วยคุณในการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นในขณะที่คอยจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของคุณ

    Cross-Asset Diversification concept

    ทำความเข้าใจกับการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน

    การปรับสมดุลพอร์ตเป็นการปรับการลงทุนของคุณใหม่เพื่อรักษาการจัดสรรสินทรัพย์ที่คุณต้องการเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป ความผันผวนในตลาดอาจทำให้พอร์ตของคุณเบี่ยงเบนไปจากสมดุลเดิม การปรับสมดุลทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในด้านเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของคุณ โดยเกี่ยวข้องกับการขายสินทรัพย์ที่เคยทำผลงานได้ดีและซื้อสินทรัพย์ที่เคยมีประสิทธิภาพต่ำให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้พอร์ตของคุณกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล

    และแน่นอน! การกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์หรือที่เรียกว่าการกระจายประเภทสินทรัพย์หรือการลงทุนในหลายสินทรัพย์ เป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หรือประเภทสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อให้ได้พอร์ตที่มีความสมดุลและหลากหลาย ด้านล่างนี้เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมโดยละเอียดเกี่ยวกับการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์

    การกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์คืออะไร?

    1. กระจายความเสี่ยงข้ามประเภทสินทรัพย์:

    การกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์เกี่ยวข้องกับการลงทุนในประเภทต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ต่อกันต่ำ โดยทั่วไปประเภทสินทรัพย์เหล่านี้ได้แก่:

    – หลักทรัพย์ (หุ้น)

    – หลักทรัพย์ตราสารหนี้ (พันธบัตร)

    – เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด

    – อสังหาริมทรัพย์

    – สินค้าโภคภัณฑ์

    – การลงทุนทางเลือก (เฮดจ์ฟันด์ หุ้นนอกตลาด ฯลฯ)

    – สกุลเงินต่างประเทศ (ฟอเร็กซ์)

    1. ลดความเสี่ยงในพอร์ต:

    วัตถุประสงค์หลักของการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์คือการลดความเสี่ยงโดยรวมในพอร์ตโดยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีภาวะผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่แตกต่างกัน เนื่องจากประเภทสินทรัพย์ที่แตกต่างกันมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้แตกต่างกันภายใต้สภาวะตลาดต่างๆ การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของตลาดในเชิงลบต่อมูลค่าของพอร์ตการลงทุน

    1. ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่ำ:

    กุญแจสำคัญในการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพคือการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันต่ำหรือมีความสัมพันธ์เชิงลบ โดยความสัมพันธ์นี้จะวัดระดับที่ราคาสินทรัพย์ทั้งสองเคลื่อนไหวสัมพันธ์ต่อกัน สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวเป็นอิสระจากกัน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการกระจายความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น เมื่อหุ้นปรับลง พันธบัตรหรือทองคำอาจปรับขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยการขาดทุนในส่วนของหุ้นในพอร์ตการลงทุน

    1. เพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยง:

    การกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์ช่วยให้นักลงทุนมีการแลกกันระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยงที่ดีขึ้น นักลงทุนสามารถปรับผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงในพอร์ตของตนให้เหมาะสมได้โดยการถือสินทรัพย์ที่มีระดับความเสี่ยง ศักยภาพด้านผลตอบแทน และความสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายถึงการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นไปพร้อมๆ กับการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้

    1. ใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาด:

    การกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภทเปิดให้นักลงทุนได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว หุ้นอาจทำผลงานได้ดีกว่าพันธบัตร ขณะที่ในช่วงที่ตลาดตกต่ำ พันธบัตรหรือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ อาจให้ความมั่นคงและรักษาเงินทุนได้ การกระจายความเสี่ยงในประเภทสินทรัพย์ต่างๆ ช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปและทำกำไรจากโอกาสในการลงทุนที่หลากหลาย

    1. ความมั่นคงและความยืดหยุ่นของพอร์ต:

    การกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์ช่วยเพิ่มเสถียรภาพและความยืดหยุ่นของพอร์ตโดยการลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวที่มีอยู่ในกลยุทธ์สินทรัพย์เดี่ยว ด้วยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย นักลงทุนสามารถทนต่อความผันผวนของตลาด ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ดีขึ้น การกระจายความเสี่ยงช่วยปกป้องเงินทุนในช่วงขาลงและมอบประสบการณ์การลงทุนที่ราบรื่นมากขึ้นในระยะยาว

    และแน่นอน! การกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เป็นพื้นฐานในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่เข้มแข็ง ซึ่งจะสามารถฝ่าฟันความผันผวนของตลาดและบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวได้ เราจะไปสำรวจประเภทสินทรัพย์หลักสำหรับการกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติมโดยละเอียดกัน

    ประเภทสินทรัพย์สำหรับการกระจายความเสี่ยง

    1. หลักทรัพย์ (หุ้น):

    หลักทรัพย์เป็นตัวแทนของสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทที่มีการเทรดกันในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นให้โอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูงในระยะยาว แต่ก็มีความผันผวนและความเสี่ยงสูงกว่า การลงทุนในพอร์ตหุ้นที่หลากหลายเปิดให้คุณได้มีส่วนร่วมในการเติบโตของอุตสาหกรรมและภาคส่วนต่างๆ โดยกระจายความเสี่ยงไปยังบริษัทต่างๆ

    1. หลักทรัพย์ตราสารหนี้ (พันธบัตร):

    พันธบัตรเป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล เทศบาล หรือบริษัทเพื่อการระดมทุน โดยจะมีการจ่ายดอกเบี้ยแก่นักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (การจ่ายดอกเบี้ยหน้าตั๋ว) และการคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด พันธบัตรมีความผันผวนต่ำกว่าและเป็นแหล่งรายได้และการรักษาเงินทุนในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากการตกต่ำของตลาดหุ้นอีกด้วย

    1. เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด:

    เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น บัญชีออมทรัพย์ กองทุนตลาดเงิน และตั๋วเงินคลังระยะสั้น แม้การลงทุนด้วยเงินสดมักจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าหุ้นและพันธบัตร แต่ก็ให้ความมั่นคงและสภาพคล่องโดยทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอน รายการเทียบเท่าเงินสดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสภาพคล่องและตอบสนองความต้องการทางการเงินในระยะสั้น

    1. อสังหาริมทรัพย์:

    การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยให้ผลตอบแทนที่สัมพันธ์กับสินทรัพย์ทางการเงินแบบทั่วไป เช่น หุ้นและพันธบัตรน้อยกว่า การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์สร้างรายได้จากค่าเช่าและการเพิ่มทุนที่เป็นไปได้ ทำให้เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการกระจายความเสี่ยง

    1. สินค้าโภคภัณฑ์:

    สินค้าโภคภัณฑ์คือสินค้าที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ โลหะเงิน น้ำมัน สินค้าเกษตร และโลหะอุตสาหกรรม การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เอื้อประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยงเนื่องจากมีความสัมพันธ์ต่ำกับสินทรัพย์ทางการเงินแบบทั่วไป ซึ่งสินค้าโภคภัณฑ์ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ ความผันผวนของค่าเงิน และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น

    1. การลงทุนทางเลือก:

    การลงทุนทางเลือก ได้แก่ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ หุ้นนอกตลาด เงินร่วมลงทุน อสังหาริมทรัพย์เอกชน และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนทางเลือกเอื้อประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยงโดยให้คุณได้เปิดรับประเภทสินทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุนที่ไม่ใช่แบบทั่วไป การลงทุนเหล่านี้มักมีความสัมพันธ์กับหุ้นและพันธบัตรต่ำ ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตและเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยง

    1. สกุลเงินต่างประเทศ (ฟอเร็กซ์):

    การเทรดฟอเร็กซ์เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายสกุลเงินในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การลงทุนในสกุลเงินต่างประเทศเอื้อประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยงโดยเปิดให้นักลงทุนได้เข้าถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ การลงทุนในฟอเร็กซ์สามารถป้องกันความเสี่ยงจากสกุลเงินและให้โอกาสในการทำกำไรจากความผันผวนของสกุลเงิน อย่างไรก็ตาม การเทรดฟอเร็กซ์มีความเสี่ยงในตัวโดยธรรมชาติ เช่น ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

    และแน่นอน! การใช้กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความสมดุล ซึ่งสามารถทนต่อความผันผวนของตลาดและบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว ด้านล่างนี้จะพูดถึงวิธีการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    กลยุทธ์สำหรับการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์

    1. การจัดสรรสินทรัพย์:

    การจัดสรรสินทรัพย์เป็นรากฐานของการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดการผสมผสานประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพอร์ตของคุณ โดยพิจารณาจากเป้าหมายการลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ระยะเวลา และสภาวะตลาด กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์โดยทั่วไป ได้แก่:

    • การจัดสรรสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์: การสร้างการจัดสรรสินทรัพย์เป้าหมายตามวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาวและรักษาไว้โดยการปรับสมดุลเป็นระยะ
    • การจัดสรรสินทรัพย์ทางยุทธวิธี: การปรับเปลี่ยนการจัดสรรสินทรัพย์แบบไดนามิกเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด แนวโน้มเศรษฐกิจ และโอกาสในการประเมินมูลค่า
    • การจัดสรรสินทรัพย์แบบไดนามิก: การใช้รูปแบบเชิงปริมาณหรืออัลกอริทึมเพื่อจัดสรรสินทรัพย์แบบไดนามิกตามสัญญาณของตลาด ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ หรือปัจจัยเสี่ยง
    1. การจัดสรรตามความเสี่ยง:

    การจัดสรรตามความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับการจัดสรรเงินทุนระหว่างประเภทสินทรัพย์ตามความเสี่ยง กลยุทธ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงภายในพอร์ตขณะที่พยายามให้บรรลุผลตอบแทนในระดับที่ต้องการ สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าอาจเป็นหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าอาจเป็นพันธบัตรและรายการเทียบเท่าเงินสด การกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่มีระดับความเสี่ยงต่างกัน ช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงโดยรวมในพอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    1. การลงทุนตามปัจจัย:

    การลงทุนตามปัจจัยเกี่ยวข้องกับการกำหนดปัจจัยเป้าหมายหรือลักษณะเฉพาะที่ขับเคลื่อนผลตอบแทนของสินทรัพย์ เช่น มูลค่า ขนาด โมเมนตัม และคุณภาพ การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีปัจจัยต่างกัน นักลงทุนสามารถกระจายแหล่งที่มาของความเสี่ยงและผลตอบแทนได้ กลยุทธ์ตามปัจจัยอาจรวมถึง:

    • การลงทุนแบบเน้นคุณค่า: ค้นหาสินทรัพย์ที่ได้รับการประเมินค่าต่ำไปและมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าในระยะยาว
    • การลงทุนตามโมเมนตัม: ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาสินทรัพย์ที่คงอยู่และสัญญาณโมเมนตัม
    • การลงทุนในคุณภาพ: ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการที่มั่นคง และภาระหนี้ทางการเงินต่ำ
    1. การเพิ่มและลดน้ำหนักการลงทุนเชิงกลยุทธ์:

    การเพิ่มและลดน้ำหนักการลงทุนเชิงกลยุทธ์เกี่ยวข้องกับการปรับการจัดสรรพอร์ตเพื่อเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้โอกาสในผลตอบแทนที่น่าดึงดูด และลดการลงทุนในสินทรัพย์ที่อาจมีมูลค่าสูงเกินจริงหรือมีความเสี่ยงสูงกว่า กลยุทธ์นี้เปิดให้นักลงทุนใช้โอกาสจากความด้อยประสิทธิภาพของตลาด และใช้ประโยชน์จากการกำหนดราคาที่ไม่ถูกต้องในประเภทสินทรัพย์ต่างๆ การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนอาจใช้วิธีการจัดสรรเงินทุนเพิ่มเติมให้กับภาคส่วนหรือประเภทสินทรัพย์ที่ได้รับการประเมินค่าต่ำไป ขณะที่การลดน้ำหนักการลงทุนอาจใช้วิธีลดการเปิดรับความเสี่ยงจากสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงเกินจริงหรือมีความเสี่ยง

    1. การกระจายความเสี่ยงทั่วโลก:

    การกระจายความเสี่ยงทั่วโลกเกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์จากภูมิภาคทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไปเพื่อลดความเสี่ยงเฉพาะประเทศและได้รับประโยชน์จากโอกาสในการเติบโตทั่วโลก ด้วยการกระจายความเสี่ยงในระดับสากล นักลงทุนจะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด วงจรเศรษฐกิจ และพัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์ที่หลากหลาย การกระจายความเสี่ยงระดับสากลสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตการลงทุน และลดการพึ่งพาจากประเทศหรือภูมิภาคใดๆ ในเรื่องผลตอบแทน

    1. การลงทุนทางเลือก:

    การรวมการลงทุนทางเลือก เช่น กองทุนเฮดจ์ฟันด์ หุ้นนอกตลาด อสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐานไว้ในพอร์ตของคุณสามารถช่วยเพิ่มการกระจายความเสี่ยงได้ การลงทุนทางเลือกมักมีความสัมพันธ์ต่ำกับสินทรัพย์ประเภทดั้งเดิม เช่น หุ้นและพันธบัตร ซึ่งช่วยลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ตและเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม การลงทุนทางเลือกอาจนำมาซึ่งสภาพคล่อง ความซับซ้อน และความเสี่ยงด้านระเบียบข้อบังคับที่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

    1. การปรับสมดุลแบบไดนามิก:

    การปรับสมดุลแบบไดนามิกเกี่ยวข้องกับการทบทวนและปรับการจัดสรรพอร์ตเพื่อรักษาวัตถุประสงค์ด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต้องการเอาไว้ กลยุทธ์นี้จำเป็นต้องมีการติดตามสภาวะตลาด แนวโน้มเศรษฐกิจ และการประเมินมูลค่าสินทรัพย์อย่างแข็งขัน ด้วยการปรับสมดุลพอร์ตแบบไดนามิกเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด นักลงทุนสามารถปรับตัวให้เข้ากับโอกาสและความเสี่ยงใหม่ๆ ในขณะที่ยังคงมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของตนเอง

    และแน่นอน! การปรับสมดุลพอร์ตที่หลากหลายเป็นส่วนสำคัญของการจัดการพอร์ตที่ต้องมีการปรับการจัดสรรสินทรัพย์เป็นระยะๆ เพื่อรักษาระดับการกระจายความเสี่ยงและการเปิดรับความเสี่ยงตามที่คุณต้องการ ด้านล่างนี้เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมโดยละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการ

    การปรับสมดุลพอร์ตที่มีความหลากหลาย

    การปรับสมดุลพอร์ตคืออะไร?

    การปรับสมดุลพอร์ตเป็นกระบวนการในการปรับการจัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตของคุณใหม่เพื่อให้พอร์ตกลับมาสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากประเภทสินทรัพย์ที่แตกต่างกันหรือการลงทุนส่วนบุคคลมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน การจัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตของคุณอาจเบี่ยงเบนไปจากแผนการลงทุนเดิม การปรับสมดุลทำให้มั่นใจได้ว่าพอร์ตของคุณจะยังคงสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และวัตถุประสงค์ในการลงทุนของคุณ

    เหตุใดการปรับสมดุลจึงมีความสำคัญ?

    การปรับสมดุลเป็นสิ่งสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ:

    • การคงไว้ซึ่งการจัดสรรสินทรัพย์: การปรับสมดุลช่วยให้มั่นใจได้ว่าพอร์ตของคุณจะยังมีส่วนผสมของสินทรัพย์ที่ต้องการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    • ควบคุมความเสี่ยง: ความผันผวนของตลาดอาจทำให้สินทรัพย์บางรายการในพอร์ตของคุณมีน้ำหนักเกินหรือต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ การปรับสมดุลจะช่วยควบคุมความเสี่ยงโดยการฟื้นฟูการจัดสรรสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับเป้าหมาย
    • เพิ่มผลตอบแทนให้สูงสุด: การปรับสมดุลทำให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มและโอกาสในตลาดโดยการขายสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ดี และการซื้อสินทรัพย์ที่ได้รับการประเมินค่าต่ำไปหรือมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต

    คุณควรปรับสมดุลบ่อยแค่ไหน?

    ความถี่ของการปรับสมดุลพอร์ตขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสภาวะตลาด แม้จะไม่มีแนวทางใดที่เหมาะสำหรับทุกคน แต่นักลงทุนมักจะปรับสมดุลพอร์ตของตนเป็นรายปี รายไตรมาส หรือเมื่อใดก็ตามที่การจัดสรรสินทรัพย์เบี่ยงเบนไปจากระดับเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ การสร้างสมดุลทางวินัยให้พอร์ตและการลดต้นทุนการทำธุรกรรมและผลกระทบทางภาษีเป็นเรื่องสำคัญ

    ขั้นตอนในการปรับสมดุลใหม่:

    เมื่อทำการปรับสมดุลพอร์ตของคุณใหม่ ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้:

    • ตรวจสอบการจัดสรรสินทรัพย์ของคุณในปัจจุบัน: ประเมินการจัดสรรพอร์ตของคุณในปัจจุบันสำหรับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร เงินสด และการลงทุนทางเลือก
    • เปรียบเทียบกับการจัดสรรเป้าหมาย: เปรียบเทียบการจัดสรรสินทรัพย์ในปัจจุบันกับการจัดสรรเป้าหมายหรือแผนการลงทุนของคุณ ระบุการเบี่ยงเบนหรือน้ำหนักเกิน/น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ใดๆ ในประเภทสินทรัพย์ที่เจาะจง
    • กำหนดกลยุทธ์การปรับสมดุล: ตัดสินใจว่าคุณจะปรับสมดุลพอร์ตอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดสรรเป้าหมาย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการขายสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักเกิน การซื้อสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
    • ดำเนินการเทรดตามการปรับสมดุลใหม่: ใช้กลยุทธ์การปรับสมดุลใหม่โดยดำเนินการเทรดเพื่อปรับการจัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตของคุณ เมื่อทำการเทรด ให้พิจารณาถึงต้นทุนการทำธุรกรรม ผลกระทบทางภาษี และสภาพคล่องของตลาด
    • ตรวจสอบและปรับเปลี่ยน: ตรวจสอบประสิทธิภาพของพอร์ตและการจัดสรรสินทรัพย์เป็นประจำ ปรับกลยุทธ์การปรับสมดุลของคุณตามความจำเป็นโดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงในสภาวะตลาด เป้าหมายการลงทุน หรือความเสี่ยงที่ยอมรับได้

    ข้อควรพิจารณาในการปรับสมดุลพอร์ตที่มีความหลากหลาย:

    • ผลกระทบทางภาษี: การปรับสมดุลใหม่อาจทำให้เกิดภาษีกำไรจากการขายหุ้นได้ โดยเฉพาะในบัญชีการลงทุนที่ต้องเสียภาษี พิจารณากลยุทธ์ที่ประหยัดภาษี เช่น การขายหุ้นที่ขาดทุน หรือการใช้บัญชีที่ได้รับผลประโยชน์ทางภาษี เช่น IRA และ 401(k)
    • ต้นทุนการทำธุรกรรม: คำนึงถึงต้นทุนการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายหลักทรัพย์ ลดค่าใช้จ่ายในการเทรดโดยใช้เครื่องมือในการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำ เช่น กองทุนดัชนีหรือ ETF
    • สภาวะตลาด: ปรับสมดุลพอร์ตของคุณตามสภาวะตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจ ปรับการจัดสรรสินทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุนของคุณให้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์

    การปรับสมดุลโดยอัตโนมัติ:

    นักลงทุนบางรายทำให้กระบวนการปรับสมดุลเป็นแบบอัตโนมัติโดยใช้เครื่องมือการจัดการพอร์ตหรือ Robo Advisor แพลตฟอร์มเหล่านี้จะปรับสมดุลพอร์ตของคุณให้โดยอัตโนมัติตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หรือเมื่อมีการเบี่ยงเบนจากการจัดสรรเป้าหมายเกินเกณฑ์ที่กำหนด ระบบอัตโนมัติสามารถปรับปรุงกระบวนการปรับสมดุลให้มีประสิทธิภาพและรับประกันการจัดการพอร์ตอย่างมีระเบียบวินัย

    การตรวจสอบและเอกสารประกอบ:

    หลังจากปรับสมดุลพอร์ตของคุณแล้ว:

    1. ใช้เวลาในการทบทวนและบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
    2. เก็บบันทึกโดยละเอียดเกี่ยวกับการปรับสมดุลของคุณ รวมถึงเหตุผลเบื้องหลังการปรับแต่ละครั้ง และผลกระทบที่มีต่อประสิทธิภาพของพอร์ต
    3. ทบทวนแผนการลงทุนและกลยุทธ์การปรับสมดุลอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่ายังคงสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้

    เราจะไปเจาะลึกข้อควรพิจารณาในการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญในด้านการเทรดและการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ กัน

    ข้อควรพิจารณาในการบริหารความเสี่ยง

    ทราบถึงระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้:

    ก่อนที่จะเริ่มต้นเส้นทางการลงทุนใดๆ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึงระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ สิ่งนี้หมายถึงความสามารถและความเต็มใจของคุณที่จะแบกรับความผันผวนในมูลค่าการลงทุน การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน เป้าหมายการลงทุน ระยะเวลา และภาวะอารมณ์

    กระจายความเสี่ยงในฐานะกลยุทธ์ลดความเสี่ยง:

    การกระจายความเสี่ยงเป็นรากฐานที่สำคัญของการบริหารความเสี่ยง ด้วยการกระจายการลงทุนของคุณไปยังประเภทสินทรัพย์ อุตสาหกรรม และภูมิภาคที่แตกต่างกัน คุณจะสามารถลดผลกระทบจากผลงานการลงทุนเดี่ยวที่ไม่ดีต่อพอร์ตโดยรวมของคุณได้ การกระจายความเสี่ยงช่วยลดความผันผวนและลดความเสี่ยงของการขาดทุนเป็นจำนวนมากได้

    ความสัมพันธ์ของสินทรัพย์และการกระจายความเสี่ยง:

    พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เมื่อทำการกระจายพอร์ตของคุณ สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำหรือเป็นลบมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวเป็นอิสระจากกัน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำ สินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาลอาจทำผลงานได้ดี ซึ่งจะชดเชยการขาดทุนในหุ้น

    การกำหนดขนาดสถานะและการจัดสรรความเสี่ยง:

    การกำหนดขนาดสถานะที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบริหารความเสี่ยง หลีกเลี่ยงการเปิดรับสินทรัพย์หรือตลาดใดๆ เข้าพอร์ตมากเกินไป จัดสรรเงินทุนตามภาวะผลตอบแทนต่อความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละรายการ โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความผันผวน สภาพคล่อง และความสัมพันธ์พอร์ตอื่นๆ ที่ถืออยู่ ใช้เทคนิคการบริหารความเสี่ยง เช่น กฎ 2% ซึ่งจำกัดความเสี่ยงของการเทรดแต่ละครั้งไว้ที่ไม่เกิน 2% ของเงินทุนทั้งหมดที่ใช้ในการเทรด

    ความเสี่ยงกับผลตอบแทน:

    ทุกการลงทุนเกี่ยวข้องกับการแลกกันระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทน โอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นมักจะมาพร้อมกับระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้น และเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทนในลักษณะที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ หลีกเลี่ยงการไล่ตามผลตอบแทนที่สูงเกินไปโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

    ใช้คำสั่ง Stop-Loss:

    การใช้คำสั่ง Stop-Loss เป็นกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงเชิงรุก คำสั่ง Stop-Loss จะระบุราคาที่จะออกจากการเทรดโดยอัตโนมัติเพื่อจำกัดการขาดทุน การตั้ง Stop-Loss ช่วยปกป้องเงินทุนของคุณและป้องกันการตัดสินใจด้วยอารมณ์ในช่วงที่ตลาดผันผวน

    ตรวจสอบและปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง:

    ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และปัจจัยเสี่ยงก็มีการพัฒนาเปลี่ยนไป ตรวจสอบประสิทธิภาพของพอร์ตและสภาวะตลาดเป็นประจำ รับข่าวสารเกี่ยวกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของคุณ ปรับพอร์ตและกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง

    รับทราบข้อมูลและขวนขวายหาความรู้:

    ความรู้คือขุมพลังเมื่อพูดถึงการบริหารความเสี่ยง ทราบถึงหลักการลงทุน แนวโน้มตลาด และเทคนิคการบริหารความเสี่ยง ขวนขวายหาความรู้อย่างต่อเนื่องผ่านแหล่งข้อมูล ข่าวการเงิน และสื่อสิ่งพิมพ์ในอุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้เพื่อการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาด

    วิธีสร้างสมดุลพอร์ตด้วยฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี และแท่งโลหะมีค่า

    1. กำหนดเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้:

    ก่อนที่จะเจาะลึกเรื่องการจัดสรรสินทรัพย์ เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องกำหนดเป้าหมายการลงทุนและประเมินความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ก่อน คุณกำลังลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาว เพื่อรายได้ หรือเพื่อการรักษาเงินทุน? การเข้าใจถึงวัตถุประสงค์จะเป็นแนวทางในการสร้างพอร์ตของคุณ

    1. เข้าใจลักษณะของสินทรัพย์แต่ละประเภท:

    ทำความคุ้นเคยกับลักษณะเฉพาะของสินทรัพย์แต่ละประเภท:

    • ฟอเร็กซ์ (การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ): การเทรดฟอเร็กซ์เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายคู่สกุลเงิน ทำความเข้าใจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ย ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
    • สินค้าโภคภัณฑ์: สินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่ สินค้าที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ น้ำมัน สินค้าเกษตร เป็นต้น ซึ่งสินค้าโภคภัณฑ์ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ได้
    • ดัชนีเป็นตัวแทนของหุ้นต่างๆ โดยติดตามผลการดำเนินงานของตลาดหรือภาคส่วนที่เฉพาะเจาะจง การลงทุนในดัชนีทำให้สามารถเปิดรับตลาดได้กว้างและมีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นรายตัว
    • แท่งโลหะมีค่า: โลหะมีค่าอย่างเช่นทองคำและโลหะเงินถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งมักจะทำผลงานได้ดีในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนหรือตลาดตกต่ำ
    1. กำหนดการจัดสรรสินทรัพย์เป้าหมายของคุณ:

    กำหนดประเภทสินทรัพย์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวสำหรับพอร์ตของคุณโดยพิจารณาจากเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การจัดสรรนี้จะขึ้นอยู่กับขอบเขตการลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน และความเสี่ยงที่ยอมรับได้

    1. เลือกสินทรัพย์ที่หลากหลายจากแต่ละประเภท:

    ภายในสินทรัพย์แต่ละประเภท ให้เลือกการลงทุนที่ให้ความหลากหลายและเสริมภาวะผลตอบแทนต่อความเสี่ยงของกันและกัน เช่น:

    • ฟอเร็กซ์:  เพื่อกระจายความเสี่ยงจากสกุลเงิน ให้กระจายความเสี่ยงไปยังคู่เงินและภูมิภาคต่างๆ คุณอาจลองพิจารณาคู่หลัก คู่รอง และคู่พิเศษ (เช่น EUR/USD, GBP/USD, GBPAUD, USD/ZAR)
    • สินค้าโภคภัณฑ์: เพื่อกระจายความเสี่ยง ให้ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ที่หลากหลาย คุณอาจลองพิจารณากระจายไปยังโลหะมีค่า (ทองคำ, โลหะเงิน) พลังงาน (น้ำมัน, ก๊าซธรรมชาติ) และสินค้าเกษตร (ข้าวโพด, ข้าวสาลี)
    • ดัชนี: หากต้องการกระจายความเสี่ยงในตราสารทุน ให้เลือกดัชนีที่เป็นตัวแทนของตลาดหรือภาคส่วนต่างๆ ตัวอย่างเช่น ลงทุนในดัชนีที่ติดตามตลาดที่พัฒนาแล้ว (เช่น S&P 500, FTSE 100) และตลาดเกิดใหม่ (เช่น MSCI Emerging Markets Index)
    • แท่งโลหะมีค่า: แบ่งพอร์ตของคุณส่วนหนึ่งให้กับโลหะมีค่า เช่น ทองคำและโลหะเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
    1. ตรวจสอบและปรับสมดุลพอร์ตของคุณเป็นประจำ:

    ตลาดมีการเปลี่้ยนแปลงอยู่เสมอ และประเภทสินทรัพย์ก็อาจดำเนินการแตกต่างออกไปเมื่อเวลาผ่านไป ให้ตรวจสอบพอร์ตของคุณเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่ายังสอดคล้องกับการจัดสรรสินทรัพย์เป้าหมายของคุณ หากสินทรัพย์บางรายการมีน้ำหนักเกินหรือต่ำกว่าเกณฑ์เนื่องจากการเคลื่อนไหวของตลาด ให้ปรับพอร์ตของคุณใหม่โดยการซื้อหรือขายสินทรัพย์เพื่อให้กลับเข้าสู่สมดุล

    1. พิจารณากลยุทธ์บริหารความเสี่ยง:

    แม้การกระจายความเสี่ยงจะสามารถลดความเสี่ยงได้ แต่ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงเพื่อปกป้องพอร์ตของคุณเพิ่มเติม ซึ่งอาจรวมถึงการตั้งคำสั่ง Stop-Loss การกระจายความเสี่ยงไปยังประเภทสินทรัพย์ต่างๆ และการใช้เทคนิคการป้องกันความเสี่ยง

    1. ติดตามพัฒนาการในตลาด:

    รับข่าวสารเกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตของคุณ ติดตามเทรนด์ของสกุลเงิน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีตลาดหุ้น และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้โดยมีข้อมูลครบถ้วน

    สรุป

    โดยสรุปแล้ว การฝึกบริหารความเสี่ยงให้เชี่ยวชาญผ่านการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเทรดให้ประสบความสำเร็จ ด้วยการกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ คุณจะสามารถลดความเสี่ยง เพิ่มผลตอบแทน และบรรลุเป้าหมายการลงทุนได้อย่างมั่นใจ ดังนั้นจะมัวรอช้าอยู่ไย เริ่มกระจายพอร์ตของคุณวันนี้และยกระดับกลยุทธ์การเทรดของคุณไปอีกขั้นกันเลย!

    เปิดเมนูสืบค้นเนื้อหา
    เปิดเมนูสืบค้นเนื้อหา

    พร้อมเริ่มต้นเทรดหรือยัง

    บทความที่เกี่ยวข้อง
    pure gold bars on black background compressed
    เปิดเผยความลับ: กลยุทธ์เทรดทองคำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ผลกำไรสูงสุด

    บทความนี้จะสำรวจกลยุทธ์เทรดทองคำ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกว่าทำไมคุณจึงควรซื้อขายทองคำ และการวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของแต่ละกลยุทธ์

    อ่านเพิ่มเติม »
    เราจะให้การสนับสนุนคุณในทุกขั้นตอนของการเดินทางนี้
    ความรู้ ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ

    ทีมบริการลูกค้าของเราพร้อมตอบข้อซักถามใดๆ ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นคำถามเชิงเทคนิคหรือคำถามทั่วไปเกี่ยวกับการเทรด เราพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ

    บริการส่วนบุคคล

    เมื่อคุณสมัครสมาชิกกับเรา เราจะมอบหมายผู้จัดการสัมพันธ์ส่วนตัวให้คุณเพื่อช่วยเหลือในการเดินทางเทรดของคุณ

    rotator.png

    เรากำลังพาท่านไปสู่ Hantec Trader ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเรา

    โปรดทราบว่า Hantec Trader ไม่รองรับลูกค้าจากสหรัฐอเมริกาหรือประเทศที่ถูกจำกัดอื่นๆ