CFDs are complex instruments and come with a high risk of losing money rapidly due to leverage. 66% of retail investor accounts lose money when trading CFDs with this provider.

You should consider whether you understand how CFDs work and whether you can afford to take the high risk of losing your money.

Please be advised that our Client Portal is scheduled for essential maintenance this weekend from market close Friday 16th February, 2024, and should be back up and running before markets open on Sunday 18th February, 2024.

เรายินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าเรากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการอัปเดต Client Portal เพื่อมุ่งเน้นที่จะปรับปรุงประสบการณ์ของคุณกับเรา
Client Portal จะไม่พร้อมให้คุณใช้งานตั้งแต่ตลาดปิดใน วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 และควรสำรองข้อมูลและทำงานก่อนตลาดเปิดให้บริการใน วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567

CFDs are complex instruments and come with a high risk of losing money rapidly due to leverage. 66% of retail investor accounts lose money when trading CFDs with this provider.

You should consider whether you understand how CFDs work and whether you can afford to take the high risk of losing your money.

Search
Close this search box.

การเทรดสกุลเงินคืออะไร

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสกุลเงิน ซึ่งเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างสกุลพร้อมกันในตลาด รวมถึงเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดเงินที่มีสภาพคล่องสูงสุดและใหญ่ที่สุดในโลก

การเทรดสกุลเงินคืออะไร

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสกุลเงิน ซึ่งเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างสกุลพร้อมกันในตลาด รวมถึงเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดเงินที่มีสภาพคล่องสูงสุดและใหญ่ที่สุดในโลก

เขียนโดย  Aaron Akwu, Head of Education Hantec Markets

สารบัญ
    Add a header to begin generating the table of contents

    ข้อมูลเบื้องต้นสู่การเทรดสกุลเงินหรือการเทรด Forex

    การเทรด forex หรือที่เรียกว่าการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา การเทรดสกุลเงิน หรือตลาด FX หมายถึงการซื้อขายสกุลเงินในตลาด forex ตลาด forex เป็นตลาดแบบกระจายอำนาจ (ไม่มีการผูกขาดการซื้อขายโดยรายใหญ่เพียงรายใดรายหนึ่ง) ที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ และเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายต่อวันมากกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการเทรด forex นักลงทุนรายย่อยและสถานบันการเงินต่างๆ จะซื้อและขายคู่สกุลเงินต่างๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐและยูโร เพื่อทำกำไร การเทรด forex ดำเนินการผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มูลค่าของสกุลเงินมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง และเทรดเดอร์ forex ทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้โดยการซื้อในราคาต่ำและขายในราคาสูง (Buying low and selling high) หรือขายในราคาสูงและซื้อในราคาต่ำ (Selling high and buying low) สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในตลาดสกุลเงินและปัจจัยต่างๆ ที่ขับเคลื่อนราคาของสกุลเงินสามารถทำกำไรจากการเทรดฟอเร็กซ์ (Forex Trading) ได้

    ประวัติตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

    ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือที่เรียกว่าตลาด forex เป็นตลาดที่มีการกระจายอำนาจซึ่งมีการซื้อและขายสกุลเงินทั่วโลก โดยมีคู่สกุลเงินเป็นสินค้าหลักในการเทรด ประวัติตลาด forex สามารถย้อนไปถึงสมัยโบราณ เมื่อเงินถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเป็นครั้งแรก

    ตลาดเงินตราสมัยใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อประเทศต่างๆ เริ่มใช้มาตรฐานทองคำ และการแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศแพร่หลายมากขึ้น ในช่วงปลายปี 1800 และต้นปี 1900 การแลกเปลี่ยนสกุลเงินส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านธนาคารและสถาบันการเงินอื่นๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสกุลเงินต่างๆ

    ในช่วงศตวรรษที่ 20 ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีการเติบโตและการพัฒนาที่สำคัญ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการลงนามในข้อตกลงเบรตตัน วูดส์ (Bretton Woods Agreement) ซึ่งกำหนดให้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลักของโลก และผูกมัดมูลค่าสกุลเงินอื่นๆ เทียบกับมูลค่าสกุลเงินดอลลาร์ ข้อตกลงนี้นำไปสู่การเกิดตลาด forex สมัยใหม่แห่งแรกของโลก

    ในช่วงปี 1970 มีการยกเลิกข้อตกลงเบรตตัน วูดส์

    สกุลเงินต่างๆ ของโลกเริ่มเคลื่อนไหวอย่างอิสระต่อกัน ทำให้สามารถซื้อขายสกุลเงินได้อย่างเสรี ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสมัยใหม่ที่เรารู้จักในทุกวันนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตลาด forex ได้กลายเป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีการซื้อขายมากที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายต่อวันมากกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

    การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้นักลงทุนรายย่อยและสถาบันการเงินต่างๆ (ธนาคาร ตัวแทนจำหน่ายฟอเร็กซ์รายย่อย บริษัทการค้า ธนาคารกลาง บริษัทจัดการการลงทุน กองทุนเฮดจ์ฟันด์) สามารถเข้าร่วมตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ทำให้พวกเขาเทรดสกุลเงินต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ทุกวันนี้ เทรดเดอร์และนักลงทุนทั่วโลกสามารถเข้าถึงตลาด forex ได้ และตลาด forex ยังคงเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ

    การซื้อขายสกุลเงินทำงานอย่างไร

    ในการเริ่มเทรดสกุลเงิน คุณต้องสร้างบัญชีเทรด Forex กับโบรกเกอร์ก่อน เทรดเดอร์เลือกคู่สกุลเงินเพื่อเทรด เช่น EUR/USD จากนั้นกำหนดว่าจะซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) สกุลเงินหลัก (EUR) เมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง (USD) ตามการวิเคราะห์ตลาดและการคาดการณ์มูลค่าของสกุลเงิน

    ถ้าเทรดเดอร์เชื่อว่ามูลค่าของสกุลเงินหลัก (EUR) จะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง (USD) พวกเขาจะดำเนินการซื้อคู่สกุลเงิน EUR/USD ถ้าพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาวิเคราะห์แม่นยำและมูลค่าของสกุลเงินหลัก (EUR) เพิ่มขึ้นจริง พวกเขาจะทำธุรกรรมขายคู่สกุลเงินนื่ และเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการเทรดสกุลเงินของพวกเขา

    ผู้เล่นหลักในตลาด forex

    ผู้เล่นหลักบางรายในตลาด forex ได้แก่:

    1. ธนาคารกลาง (Central banks)ธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในตลาด forex เนื่องจากธนาคารกลางควบคุมอุปสงค์และอุปทานของสกุลเงินในประเทศของตน ธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น และธนาคารแห่งประเทศอังกฤษเป็นธนาคารกลางที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตลาด forex
    2. ธนาคารพาณิชย์ (Commercial Banks) – ธนาคารพาณิชย์มีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศโดยให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราแก่ลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในตลาด forex เนื่องจากพวกเขาใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากสกุลเงิน (Currency Hedging Strategies) เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
    3. ธนาคารเพื่อการลงทุน (Investment Banks) – ธนาคารเพื่อการลงทุนให้บริการการเทรดสำหรับสถาบันและองค์กรขนาดใหญ่ ธนาคารเพื่อการลงทุนยังมีส่วนร่วมในการเทรดเก็งกำไรในตลาด forex และเสนอตราสารอนุพันธ์สกุลเงิน เช่น สัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Currency Swaps) และสัญญาสิทธิการซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ (Currency Options)
    4. กองทุนบริหารความเสี่ยง (Hedge Funds) – กองทุนบริหารความเสี่ยงใช้กลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายเพื่อสร้างผลตอบแทน และส่วนใหญ่มีการเทรดในตลาด forex กองทุนบริหารความเสี่ยงใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุด และอาจส่งผลกระทบต่อราคาสกุลเงินอย่างมาก
    5. นักเทรดรายย่อย (Retail Traders) – นักเทรดรายย่อยหรือที่เรียกว่านักเทรดรายบุคคล เป็นส่วนเล็กๆ ของผู้เข้าร่วมในตลาด forex ทั้งหมด พวกเขาเทรดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่โบรกเกอร์ forex รายย่อยเสนอให้
    6. สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Banking Financial Institutions) – สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร เช่น บริษัทประกันและกองทุนบำเหน็จบำนาญ ร่วมทำการเทรดในตลาด forex เช่นกัน เพื่อจัดการความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อสกุลเงินของตน

    สกุลเงินหลักที่มีการเทรดในตลาด forex

    มีสกุลเงินหลักหลายสกุลในตลาด forex โดยแต่ละสกุลเงินมีลักษณะเฉพาะและมีอิทธิพลต่อตลาดที่แตกต่างกัน สกุลเงินที่มีการเทรดมากที่สุดบางรายการ ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยูโร (EUR) เยนญี่ปุ่น (JPY) ปอนด์อังกฤษ (GBP) ฟรังก์สวิส (CHF) และดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)

    สำหรับเทรดเดอร์ forex การเข้าใจพฤติกรรมและแนวโน้มตลาดในอนาคตของสกุลเงินหลักเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งเหล่านี้มักเป็นพื้นฐานของกลยุทธ์การเทรด forex เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงและเสนออัตราแลกเปลี่ยนที่ดี เทรดเดอร์ forex อาจเลือกเทรดคู่สกุลเงินคู่ใดคู่หนึ่งให้ชำนาญ หรือใช้ความได้เปรียบทางด้านโอกาสด้วยการเทรดหลายคู่สกุลเงิน

    ข้อได้เปรียบที่สำคัญประการหนึ่งของการเทรดในตลาด forex คือความสามารถในการทำกำไรจากความผันผวนของสกุลเงิน ทั้งในแง่ของการซื้อและการขายสกุลเงิน ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ forex อาจเลือกซื้อสกุลเงินต่างประเทศหากเชื่อว่ามูลค่าของสกุลเงินนั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต จากนั้นจึงขายเพื่อทำกำไรเมื่อมูลค่านั้นเพิ่มขึ้นตามความเป็นจริง

    คู่เงินหลัก (Major Currencies) มีบทบาทสำคัญในตลาด forex และเทรดเดอร์ forex จำเป็นต้องพิจารณาเพื่อพัฒนากลยุทธ์การเทรด forex การทำความเข้าใจพฤติกรรมและแนวโน้มตลาดในอนาคตของสกุลเงินเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์ forex ตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลและเพิ่มผลกำไรสูงสุดให้พวกเขา

    เมฆคำฟอเร็กซ์กับสกุลเงินหลักของโลกบนพื้นหลัง

    6 คู่สกุลเงินที่มีการเทรดมากที่สุดในโลก

    มีคู่สกุลเงินหลายคู่ที่เทรดกันในตลาด forex แต่คู่สกุลเงินที่มีการเทรดมากที่สุดเรียกว่าคู่สกุลเงินหลัก คู่สกุลเงินเหล่านี้คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 85% ของปริมาณการเทรดในตลาด forex รายวันทั้งหมด ข้อมูลเหล่านี้คือ คู่สกุลเงินหลักในตลาด forex:

    1. EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ) – นี่คือคู่สกุลเงินที่มีการเทรดมากที่สุดในตลาด forex โดยคิดเป็นมูลค่า 28% ของปริมาณการเทรดในตลาด forex รายวันทั้งหมด คู่สกุลเงินนี้แสดงมูลค่าของเงินยูโรในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
    2. USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น) – คู่สกุลเงินนี้แสดงมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในสกุลเงินเยนของญี่ปุ่น นี่คือคู่สกุลเงินที่มีการเทรดมากที่สุดเป็นอันดับสองในตลาด forex โดยคิดมูลค่าเป็น 13% ของปริมาณการเทรดในตลาด forex รายวันทั้งหมด
    3. GBP/USD (ปอนด์อังกฤษ/ดอลลาร์สหรัฐ) – คู่สกุลเงินนี้แสดงมูลค่าของสกุลเงินปอนด์อังกฤษในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นที่รู้จักในชื่อ “เคเบิล (Cable)” และเป็นคู่สกุลเงินที่มีการเทรดมากที่สุดเป็นอันดับสามในตลาด forex โดยคิดมูลค่าเป็น 11% ของปริมาณการเทรดในตลาด forex รายวันทั้งหมด
    4. USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐ/ฟรังก์สวิส) – คู่สกุลเงินนี้แสดงมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในสกุลเงินฟรังก์สวิส เป็นคู่สกุลเงินที่มีการเทรดมากที่สุดเป็นอันดับสี่ในตลาด forex โดยคิดมูลค่าเป็น 7% ของปริมาณการเทรดในตลาด forex รายวันทั้งหมด
    5. AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐ) – คู่สกุลเงินนี้แสดงมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นคู่สกุลเงินที่มีการเทรดมากที่สุดเป็นอันดับห้าในตลาด forex ซึ่งคิดเป็น 6% ของปริมาณการเทรดในตลาด forex รายวันทั้งหมด
    6. USD/CAD (ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์แคนาดา) – คู่สกุลเงินนี้แสดงถึงมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในสกุลเงินดอลลาร์แคนาดา เป็นคู่สกุลเงินที่มีการเทรดมากที่สุดเป็นอันดับที่หกในตลาด forex ซึ่งคิดมูลค่าเป็น 5% ของปริมาณการเทรดในตลาด forex รายวันทั้งหมด

    คู่สกุลเงินหลักในตลาด forex เป็นคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก และมีการเทรดกันอย่างแพร่หลาย กลุ่มนักลงทุนสามารถเทรดคู่สกุลเงินเหล่านี้ได้ตลอดเวลา เนื่องจากตลาด forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์

    คู่สกุลเงินหลัก

    อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด Forex

    อุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ เมื่อสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งมีอุปสงค์หรือปริมาณความต้องการซื้อ (Demand) สูงขึ้น มูลค่าของสกุลเงินนั้นจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาณความต้องการซื้อที่ลดลงจะทำให้มูลค่าของสกุลเงินนั้นลดลงเช่นกัน ในทางกลับกัน อุปทานหรือปริมาณความต้องการเสนอขาย (Supply) ของสกุลเงินที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มูลค่าของสกุลเงินนั้นลดลง ในมุมกลับกัน หากอุปทานลดลงส่งผลให้มูลค่าของสกุลเงินเพิ่มขึ้น

    อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) มีบทบาทสำคัญในตลาด forex เช่นกัน ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง และส่งผลในทางกลับกันต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

    ตลาดฟอเร็กซ์ (Forex Market) มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเช่นกัน ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีขนาดกว้างใหญ่มาก มีผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนจากทั่วทุกมุมโลก และการไหลเวียนเงินตราระหว่างประเทศอาจส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนได้ นอกจากนี้ ตลาด forex มีสภาพคล่องสูง หมายความว่าสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ (Demand) ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนสูง

    ตลาดหุ้น (Stock Market) สามารถส่งผลกระทบต่อตลาด forex ได้เช่นกัน ตลาดหุ้นมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับสุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นอาจส่งผลต่อความต้องการสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นที่แข็งแกร่งอาจทำให้ความต้องการสกุลเงินเพิ่มขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นที่อ่อนแออาจทำให้ความต้องการสกุลเงินลดลง

    ประการสุดท้าย สกุลเงินต่างประเทศอาจมีบทบาทในการขับเคลื่อนตลาด forex ได้ การแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศอาจส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานของสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าสกุลเงินต่างประเทศอาจส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน

    การพัฒนากลยุทธ์การเทรดในตลาด Forex

    การพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จในตลาด forex จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบและอาศัยความเข้าใจตลาดอย่างถ่องแท้ ขั้นตอนต่อไปนี้สามารถช่วยคุณสร้างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการเทรดในตลาด forex ได้:

    1. กำหนดเป้าหมายการลงทุนของคุณ: เป้าหมายการลงทุนของคุณจะส่งผลต่อประเภทกลยุทธ์ที่คุณใช้ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการสร้างผลกำไรที่มั่นคง คุณอาจควรใช้กลยุทธ์การบริการแบบระมัดระวัง (Conservative Strategy) แต่ถ้าหากคุณต้องการเพิ่มผลกำไรสูงสุดในช่วงเวลาสั้นๆ คุณอาจควรใช้กลยุทธ์เชิงรุก (Aggressive Strategy)
    2. ศึกษาตลาด: ก่อนจะเริ่มเทรด คุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจรอบด้านเกี่ยวกับตลาด forex รวมถึงผู้เข้าร่วมตลาด ตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเทรดโดยอิงจากข้อมูลและพัฒนากลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    3. ระบุสไตล์การเทรดของคุณ: มีสไตล์การเทรดที่แตกต่างกันในตลาด forex ได้แก่ การเทรดทำกำไรในช่วงสั้นๆ (Scalping) การเทรดแบบสวิง (Swing Trading) และการเทรดแบบถือสถานะ (Position Trading) การระบุสไตล์ที่คุณถนัดจะช่วยให้คุณพัฒนากลยุทธ์ที่ปรับให้เหมาะกับจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณได้
    4. เลือกเครื่องมือการเทรดของคุณ: คุณสามารถเทรดคู่สกุลเงินได้หลากหลายในตลาด forex สิ่งสำคัญคือต้องเลือกคู่เงินที่คุณมั่นใจในการเทรดมากที่สุดและมีประวัติผลตอบแทนที่น่าเชื่อถือ
    5. พัฒนาแผนการเทรด: แผนการเทรดของคุณควรระบุจุดเข้าและจุดออก รวมถึงกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงของคุณ คุณควรกำหนดขนาดออเดอร์ที่เหมาะสม (Position Sizing) ระดับจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และเป้าหมายกำไร (Take Profit) ด้วยเช่นกัน
    6. ติดตามตลาด: การติดตามข่าวเศรษฐกิจ แนวโน้มของตลาด และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อมูลค่าของคู่สกุลเงินเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการเทรด forex คุณควรติดตามตลาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่ากลยุทธ์ของคุณยังคงสัมพันธ์กันและมีประสิทธิภาพ
    7. ตรวจสอบและอัปเดตกลยุทธ์ของคุณเป็นประจำ: ในขณะที่ตลาด forex วิวัฒนาการอยู่ตลอด คุณต้องทบทวนและอัปเดตกลยุทธ์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้คุณนำหน้าคู่แข่งและปรับตัวเข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้

    สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าไม่มีกลยุทธ์การเทรดใดที่ป้องกันความล้มเหลวได้ 100% และแม้แต่นักเทรดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดยังสามารถขาดทุนได้ คุณจำเป็นต้องมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ผ่านการคิดมาอย่างดีเพื่อลดการขาดทุนและเพิ่มผลกำไรของคุณ

    การพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จในตลาด forex ต้องอาศัยความรู้ในเรื่องตลาด ระเบียบวินัย และแนวทางที่วางแผนมาเป็นอย่างดี เมื่อทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณจะสามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด forex และตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลได้

    คำศัพท์พื้นฐานในตลาด forex

    คำศัพท์พื้นฐานบางส่วนที่ใช้ในตลาด forex มีดังนี้:

    คู่สกุลเงิน (Currency Pair): คู่สกุลเงินคือโครงสร้างราคาและราคาของสกุลเงินที่ซื้อขายในตลาด forex มูลค่าของสกุลเงินหนึ่งกำหนดด้วยการเปรียบเทียบกับมูลค่าสกุลเงินอีกสกุลเงินหนึ่ง สกุลเงินแรกของคู่สกุลเงินเรียกว่าสกุลเงินหลัก (Base Currency) และสกุลเงินที่สองเรียกว่าสกุลเงินอ้างอิง ตัวอย่างเช่น ในคู่สกุลเงิน EUR/USD สกุลเงิน EUR เป็นสกุลเงินหลัก และสกุลเงิน USD เป็นสกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency)

    ราคาเสนอขาย (Bid Price): ราคาเสนอขายที่โบรกเกอร์เสนอให้เป็นราคาขายสูงสุดที่ผู้ซื้อยินดีจ่ายสำหรับสกุลเงินหนึ่ง ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) เต็มใจที่จะซื้อสกุลเงินหลัก (ใช้ในการเปิดออเดอร์ Sell)

    ราคาเสนอซื้อ (Ask Price): ราคาซื้อที่โบรกเกอร์เสนอให้เป็นราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีรับสำหรับสกุลเงินหนึ่ง ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) เต็มใจที่จะขายสกุลเงินหลัก (ใช้ในการเปิดออเดอร์ Buy)

    สเปรด (Spread): สเปรดคือความแตกต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย มันคือต้นทุนการเทรดในตลาด forex และมักจะมีหน่วยวัดเป็นจุด (Pip)

    จุด (Pip): จุดคือหน่วยการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กที่สุดในตลาด forex มันคือทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายในอัตราแลกเปลี่ยนของคู่สกุลเงิน

    เลเวอเรจ (Leverage): เลเวอเรจของ forex หมายถึงการใช้เงินทุนที่ยืมมาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อทำการออกสถานะการซื้อขายที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดที่เทรดได้ด้วยเงินทุนส่วนตัวของเทรดเดอร์

    แนวคิดเรื่องเลเวอเรจของ forex ขึ้นอยู่กับแนวคิดที่ว่าเทรดเดอร์สามารถเพิ่มผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้โดยการขยายขนาดของออเดอร์ (Position Sizing) โดยใช้เงินที่ยืมมา เลเวอเรจช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมสกุลเงินในจำนวนมากขึ้นด้วยเงินทุนจำนวนค่อนข้างน้อยของตนเอง

    ในขณะที่เลเวอเรจของ forex สามารถเพิ่มผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังสามารถเพิ่มการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นด้วย ดังนั้น เทรดเดอร์ต้องใช้ความระมัดระวังเมื่อใช้เลเวอเรจ และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่ดี

    หลักประกัน (Margin): หลักประกันคือจำนวนเงินที่เทรดเดอร์ต้องมีในบัญชีเพื่อเปิดและรักษาสถานะออเดอร์ในตลาด forex

    สถานะซื้อ (Long Position): สถานะซื้อคือการเทรดที่เทรดเดอร์ซื้อ (Buy) สกุลเงินด้วยความคาดหวังว่ามูลค่าของมันจะเพิ่มขึ้น

    สถานะขาย (Short Position): สถานะขายคือการเทรดที่เทรดเดอร์ขาย (Sell) สกุลเงินด้วยความคาดหวังว่ามูลค่าของมันจะลดลง

    ธนาคารกลาง (Central Bank): ธนาคารกลางเป็นสถาบันของรัฐบาลที่รับผิดชอบนโยบายการเงินและการออกสกุลเงิน ธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในตลาด forex เนื่องจากการตัดสินใจนโยบายการเงินและการแทรกแซงสกุลเงินสามารถส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน

    ตัวอย่างการเทรดสกุลเงิน

    นี่คือตัวอย่างการเทรดสกุลเงิน ทั้งในด้านการขาดทุนและกำไร:

    สมมติว่า จอห์นเป็นนักลงทุนที่ต้องการเทรดในตลาดสกุลเงิน เขามีเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐและเขาต้องการแปลงเป็นเงินยูโร (EUR) อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันระหว่างดอลลาร์สหรัฐ (USD) และยูโร (EUR) คือ 1 USD = 0.8 EUR จอห์นใช้เงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐซื้อเงิน 80,000 ยูโร

    ไม่กี่วันต่อมา อัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนเป็น 1 USD = 0.7 EUR จอห์นตัดสินใจแลกเเงินยูโรกลับเป็นดอลลาร์สหรัฐ เขาขาย 80,000 ยูโรเป็นเงิน 56,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในสถานการณ์นี้ จอห์นขาดทุน 44,000 ดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวสวนทางกับเขา

    ในทางกลับกัน สมมติว่าจอห์นซื้อเงิน 80,000 ยูโร ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 USD = 0.7 EUR และต่อมาอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนเป็น 1 USD = 0.8 EUR จอห์นตัดสินใจแลกเเงินยูโรกลับเป็นดอลลาร์สหรัฐ เขาขาย 80,000 ยูโรเป็นเงิน 64,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในสถานการณ์สมมตินี้ จอห์นทำกำไรได้ 16,000 ดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนขยับไปในทางที่เขาได้คาดการณ์ไว้

    ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนหรือกำไรในการเทรดสกุลเงินได้อย่างไร สิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์คือ การรับทราบสภาวะตลาดและเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนเพื่อทำการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด

    ประโยชน์ของการเทรดฟอเร็กซ์คืออะไร

    การเทรด forex ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีข้อได้เปรียบหลายประการ ซึ่งประกอบไปด้วย:

    สภาพคล่องสูง (High Liquidity): ตลาด forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการเทรดต่อวันมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สภาพคล่องที่สูงนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าเทรดเดอร์สามารถซื้อหรือขายคู่สกุลเงินได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องกังวลว่าราคาจะคลาดเคลื่อน

    การเทรดได้ตลอดเวลา (24/7 Trading): ตลาด forex ดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์ทำการซื้อขายได้ทุกเมื่อที่ต้องการ โดยไม่คำนึงถึงสถานที่หรือเขตเวลา (Time Zone) ของพวกเขา

    ความเข้าถึงได้ (Accessibility): ปัจจุบันผู้คนจำนวนมากเข้าถึงการเทรด forex ได้เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ทุกคนเริ่มเทรด forex จากที่บ้านได้อย่างสะดวกสบายด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตและบัญชีเทรด

    เลเวอเรจ (Leverage): เลเวอเรจมีประโยชน์กับเทรดเดอร์ forex เพราะมันช่วยให้พวกเขาเพิ่มผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการลงทุนเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าเลเวอเรจสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนได้ เนื่องจากการขาดทุนจะเพิ่มขนาดตามสัดส่วนของปริมาณเลเวอเรจที่ใช้

    ดังนั้น เทรดเดอร์ควรใช้เลเวอเรจด้วยความระมัดระวัง และตรวจสอบยืนยันว่าพวกเขามีความเข้าใจที่ชัดเจนถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เราแนะนำให้ใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การตั้งคำสั่งหยุดการขาดทุน (Stop Loss)

    ต้นทุนต่ำ (Low Cost): การเทรด forex มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนรูปแบบอื่นๆ โบรกเกอร์ forex ส่วนใหญ่ไม่เรียกเก็บค่านายหน้า และค่าสเปรด (ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย) มักจะน้อยมาก

    การกระจายความเสี่ยง (Diversification): การเทรด forex มอบโอกาสในการกระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ เทรดเดอร์สามารถลดความเสี่ยงโดยรวมได้ด้วยการเทรดคู่สกุลเงินที่แตกต่างกัน

    ความผันผวน (Volatility): ตลาด forex มีความผันผวนสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาสั้นๆ นี่เป็นโอกาสที่เพียงพอให้เทรดเดอร์ทำกำไร แต่อาจมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจำนวนมากได้เช่นกัน

    การเทรด forex มอบข้อได้เปรียบมากมายให้ผู้ที่ยินดีสละเวลาและความพยายามในการเรียนรู้เกี่ยวกับตลาด อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า การเทรด forex มีความเสี่ยง และต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังและเข้าใจถึงตลาดเชิงพลวัตรอย่างถ่องแท้

    ความเสี่ยงในการเทรด forex

    การเทรด forex เหมือนกับการลงทุนทางการเงินประเภทอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ควรทราบก่อนทำการเทรดอยู่หลายรูปแบบ ความเสี่ยงหลักๆ บางประการที่เกี่ยวข้องกับการเทรด forex ได้แก่

    1. ความผันผวนของตลาด: ตลาด forex มีความผันผวนสูง หมายความว่าอัตราแลกเปลี่ยนสามารถผันผวนอย่างรวดเร็วและคาดเดาไม่ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่ได้อย่างฉับพลันกับเทรดเดอร์ที่ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
    2. เลเวอเรจ: การเทรด forex มักจะใช้เลเวอเรจ หมายความว่าเทรดเดอร์สามารถควบคุมสกุลเงินจำนวนมากได้ด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย เลเวอเรจสามารถเพิ่มผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ยังไปเพิ่มขนาดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
    3. ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศอาจส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงินของทั้งสองประเทศ หากสกุลเงินหนึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอีกสกุลเงิน นักลงทุนจะสนใจสกุลเงินนั้น ทำให้มูลค่าของสกุลเงินนั้นสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น
    4. ความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ: สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตราแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น วิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศหนึ่งสามารถทำให้มูลค่าสกุลเงินของประเทศนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว
    5. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: ตลาด forex มีสภาพคล่องสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกสกุลเงินจะเทรดได้ง่ายเท่าๆ กัน บางสกุลเงินอาจมีการเทรดเพียงเล็กน้อย ทำให้ยากต่อการค้นหาผู้ซื้อหรือผู้ขายเมื่อคุณต้องการปิดสถานะ
    6. ความเสี่ยงด้านความสัมพันธ์ของสกุลเงิน: สกุลเงินมักจะสัมพันธ์กัน หมายความว่าสามารถเคลื่อนไหวควบคู่กันได้ ซึ่งสามารถสร้างความเสี่ยงให้กับเทรดเดอร์ที่ไม่ตระหนักถึงความสัมพันธ์เหล่านี้และผู้ที่ไม่ได้กระจายพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม
    7. ความเสี่ยงจากการฉ้อโกง: น่าเสียดายที่โบรกเกอร์หรือนักเทรด forex มีส่วนร่วมในกลฉ้อฉล เช่น “การสร้างความเคลื่อนไหวของราคาแบบหลอกๆ” หรือการปั่นราคา คุณควรเทรดกับโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงและมีใบอนุญาต (Regulations) เท่านั้น

    สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าความเสี่ยงเหล่านี้ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด และเทรดเดอร์ควรพิจารณาความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายการลงทุนอย่างรอบคอบก่อนที่จะทำการเทรด

    เปิดเมนูสืบค้นเนื้อหา
    เปิดเมนูสืบค้นเนื้อหา

    พร้อมเริ่มต้นเทรดหรือยัง

    rotator.png

    เรากำลังพาท่านไปสู่ Hantec Trader ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเรา

    โปรดทราบว่า Hantec Trader ไม่รองรับลูกค้าจากสหรัฐอเมริกาหรือประเทศที่ถูกจำกัดอื่นๆ

    Line-website.png