อัปเดตเมื่อกรกฎาคม 2024 โดย Sharon Lewis
เราสามารถพูดได้ว่ากลยุทธ์การเทรดนั้นมีมากมายพอๆกับเทรดเดอร์ เทรดเดอร์แต่ละคนนั้นต่างก็มีแนวทางและคุณสมบัติที่เฉพาะตัวของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับความนิยมมานานหลายทศวรรษ เป็นวิธีการที่ผ่านการทดลองและทดสอบอย่างเป็นขั้นตอนที่ยังคงใช้โดยเทรดเดอร์ทั่วโลก มาพบการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเทรดที่แตกต่างตามเฉพาะบุคคลและค้นหากลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดสําหรับคุณ
ในคู่มือ เราจะกล่าวถึงหัวข้อดังต่อไปนี้:
กลยุทธ์การเทรด คืออะไร
กลยุทธ์การเทรดเป็นระบบที่ใช้โดยเทรดเดอร์เพื่อช่วยในการตัดสินใจอย่างรอบคอบในตลาดการเงิน พวกเขาปฎิบัติอย่างเป็นขั้นตอนทีละขั้น เพื่อช่วยให้พวกเขาเหล่าเทรดเดอร์สามารถจับโอกาสท่ามกลางความผันผวนในตลาดและจัดการความเสี่ยงของพวกเขา
กลยุทธ์การเทรดอาจเป็นระยะสั้นหรือระยะยาวขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของการเทรด
- จุดเข้าและออกจากราคาที่แน่นอน
- การกำหนดขนาดของออเดอร์
- กรอบเวลาในการเทรด
- กฏการจัดการบริหารความเสี่ยง
ด้วยกลยุทธ์การเทรด เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจเมื่อซื้อและขาย ดูปริมาณการซื้อ-ขายในขณะนั้น และเรียนรู้วิธีการป้องกันเงินทุนตัวเองจากการสูญเสียขนาดใหญ่
1. การเทรดแบบถือครองระยะยาว (Position Trading)
คือการซื้อ-ขายในตำแหน่งที่สอดคล้องกับแนวโน้มหลัก ในระยะเวลาสั้นถึงระยะกลาง โดยปกติจะถูกกําหนดในกรอบเวลาของกราฟประจําวัน
แม้ว่าจะมีวิธีการและแนวทางที่หลากหลาย แต่หลักการสำคัญคือการถือ Position เป็นระยะเวลาหลักหลายวันหรือหลายสัปดาห์ กลยุทธ์นี้ใช้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวและแนวโน้มของสินทรัพย์หลักในตลาด
อดีของการซื้อ-ขาย แบบ Position Trading
- การซื้อขายแบบ Position Trading ไม่ต้องการความสนใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความเครียดน้อยกว่า เมื่อเทียบกับกลยุทธ์การเทรดแบบระยะสั้น
- เป็นการมุ่งเน้นไปที่ภาพที่ใหญ่ เทรดเดอร์สามารถจับแนวโน้มสินทรัพย์หลักในตลาดได้ดีและมีศักยภาพที่จะได้ทำผลกําไร
- การซื้อขายแบบ Position Trading ไม่ถูกรบกวนของความผันผวนในตลาดทุกวันซึ่งสามารถช่วยให้พวกเขาตัดสินใจอย่างสงบรอบคอบ
ข้อเสียของการซื้อ-ขาย แบบ Position Trading
- อาจใช้เวลานานที่จะเห็นผลการซื้อ-ขายในแต่ละครั้ง และการซื้อ-ขายที่ใช้ระยะเวลานานอาจไม่เหมาะสําหรับทุกคน
- การเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นที่มองไม่เห็นในกราฟประจําวันอาจส่งผลกระทบต่อ Position การซื้อ-ขายของเทรดเดอร์โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
- Position trading อาจทำให้ยึดติดหรือติดภาพกับการเทรดผิดพลาดหรือสูญเสียได้ หาก Trend หรือแนวโน้มหลักขัดกับความเห็นของคุณ ซึ่งอาจนําไปสู่การสูญเสียที่ใหญ่กว่า
2. การเทรดแบบแกว่ง (Swing Trading)
การซื้อ-ขายแบบ Swing Trade นั้นเหมือนกับการซื้อ–ขายแบบ Position trading แต่เทรดเดอร์จะมองหาการเคลื่อนที่ของราคาในทั้งสองทิศทาง ภายในแนวโน้มหลัก การเทรดแบบ Swing trading มักจะทําในระยะสั้น แทนที่จะเป็นระยะกลางหรือระยะยาว
โดยปกติทั่วไปนักเทรดแบบ Swing trading จะมองภาพรวมและถือออเดอร์ในตลาดเป็นระยะเวลาสองสามวัน หรือเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เทรดเดอร์แบบ Swing trading มักใช้กลยุทธ์การซื้อขาย ด้วยแนวโน้มหลัก , การเทรดแบบ counter-trend , Momentum , หรือ Breakout
ข้อดีของการเทรดแบบ Swing trading:
- ตั้งอยู่ระหว่างการซื้อ–ขายในระยะสั้นและระยะยาว การซื้อ–ขายแบบ Swing tradingช่วยให้เทรดเดอร์สามารถจับภาพการเคลื่อนไหวของราคาในเวลาไม่กี่วันถึงสัปดาห์
- สามารถมุ่งเป้าไปที่การจับการเคลื่อนไหวของราคาภายในแนวโน้มหลัก เทรดเดอร์สามารถได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของตลาดทั้งขึ้นและลง
- การซื้อ–ขายแบบ Swing trading ไม่ต้องการความสนใจหรือจดจ่ออย่างต่อเนื่องในการซื้อ–ขายในรายวัน สิ่งนี้ช่วยลดความกดดันให้กับเทรดเดอร์ ทําให้เข้าถึงได้มากขึ้นสําหรับผู้ที่มีงานเต็มเวลาหรือภาระผูกพันอื่น ๆ
ข้อเสียของการเทรดแบบ Swing trading:
- การถือออเดอร์เป็นเวลาหลายวันทําให้เทรดเดอร์ต้องเผชิญกับการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดข้ามคืนและช่องว่างของราคาซึ่งอาจนําไปสู่การสูญเสียที่ไม่อาจคาดเดาได้
- การเทรดแบบ Swing trading อาจมีการรับมือไม่สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของราคาในระยะสั้น ซึ่งการเคลื่อนที่ของราคาที่รวดเร็วของตลาดที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาที่พวกเขาเลือก
- นักเทรดแบบ Swing trading อาจพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในอารมณ์ของตลาดหรือเหตุการณ์ข่าวที่ไม่คาดคิดที่สามารถทําลายการซื้อ–ขายและกลยุทธ์ที่วางแผนไว้ของพวกเขา
3. การเทรดแบบรายวัน (Day Trading)
การเทรดภายในวัน คือการเปิดและปิด Position การซื้อ-ขายในวันเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ซื้อขายวันจะทําการซื้อ-ขายเพียงครั้งเดียวต่อวัน
หัวใจหลักของการเทรดแบบรายวัน คือความเรียบง่ายโดยที่พวกเขาต้องปิดตําแหน่งการซื้อ-ขายทั้งหมดก่อนที่จะจบวันทําการซื้อขาย เทรดเดอร์รายวันมักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือสําคัญโดยใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเช่น RSI (Relative Strength Index), MACD (Moving Average Convergence Divergence) และ Stochastic Oscillator เพื่อช่วยระบุสภาพตลาดและช่วยในการตัดสินใจการซื้อขาย
ข้อดีของการเทรดแบบรายวัน:
- การซื้อ-ขายภายในวัน มุ่งเป้าไปที่การใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวในราคาในระยะสั้นภายในหนึ่งวันโดยมีโอกาสที่จะได้ผลกําไรได้รวดเร็ว
- การซื้อ-ขายภายในวัน ช่วยกําจัดความเสี่ยงของความผันผวนในตลาด ในเวลากลางคืนหรือเหตุการณ์ข่าวที่ไม่คาดคิด ที่อาจส่งผลกระทบต่อการซื้อ-ขายของพวกเขา
- การซื้อ-ขายภายในวัน ไม่ผูกมัดต่อเงินทุนเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ทําให้เทรดเดอร์สามารถเข้าถึงเงินทุนของพวกเขาในตอนจบของวันซื้อ-ขายแต่ละวัน นี่อาจเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจสําหรับผู้ที่ชอบความมีสภาพคล่อง
ข้อเสียของการเทรดแบบรายวัน:
- ธรรมชาติของการซื้อ-ขายแบบรายวันที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเรื่องท้าทายจิตใจและอารมณ์สําหรับเทรดเดอร์และเทรดเดอร์รายใหม่อาจมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น
- การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นอาจได้รับอิทธิพลจากความผันผวน ทำให้เกิดความท้าทายในการแยกแยะระหว่างแนวโน้มที่สำคัญและการเคลื่อนไหวของตลาดชั่วคราว
- การซื้อและขายบ่อยๆ ภายในวัน อาจนําไปสู่ค่าใช้จ่ายในการทําธุรกรรมที่สูงขึ้น รวมถึงค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียม
4. การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action Trading)
การเทรดด้วย Price action นั้นเรียบง่ายซึ่งเป็นการซื้อ-ขาย ผ่านการเคลื่อนไหวของราคา การเปลี่ยนแปลงของราคาในกรอบเวลาที่ต่างกัน เทรดเดอร์ Price Action ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงราคาเหล่านี้สร้างแนวโน้มราคาหรือรูปแบบราคาอย่างไร จากนั้นจึงเทรดตาม Price Action
ขั้นแรก จำเป็นต้องตัดสินใจเกี่ยวกับกรอบเวลาที่คุณต้องการซื้อ-ขาย จากนั้นจึงระบุกลยุทธ์การซื้อขายแบบ Price Action คุณจะใช้ เทรดเดอร์ Price Action มองหาการเคลื่อนไหวของราคาที่โดดเด่นในกรอบเวลาของตน รับรู้แนวโน้มหรือรูปแบบที่โดดเด่น จากนั้นเข้าสู่การซื้อขายในทิศทางของสัญญาณการเคลื่อนไหวของราคา
ข้อดีของการเทรดด้วย Price action:
- การเทรดด้วย Price action ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาบนกราฟ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ตัวบ่งชี้หรือเครื่องมือที่ซับซ้อน
- เทรดเดอร์ Price action จะศึกษารูปแบบ แนวโน้ม และการก่อตัวของแท่งเทียนเพื่อทำความเข้าใจจิตวิทยาและความเชื่อมั่นของตลาด ซึ่งอาจให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
- หลักการของ Price action สามารถนำไปใช้กับหลากหลายตลาดและกรอบเวลาต่างๆ ได้ ทำให้มีความหลากหลายสำหรับเทรดเดอร์ที่สนใจหุ้น ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ และอื่นๆ
ข้อเสียของการเทรดด้วย Price action:
- การวิเคราะห์รูปแบบ Price action pattern ของเทรดเดอร์อาจต่างออกไปในแต่ละคน เนื่องจากเทรดเดอร์แต่ละรายอาจตีความกราฟเดียวกันต่างกันออกไป
- การทำความเข้าใจรูปแบบ Price action pattern และ Trend อย่างมีประสิทธิภาพมักต้องใช้ประสบการณ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
- รูปแบบ Price action pattern ไม่ใช่ตัวบ่งชี้หรือทำให้เข้าใจผิดได้ และบางครั้งสามารถสร้างสัญญาณที่ผิดพลาด ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจซื้อ–ขายที่ไม่ถูกต้อง
5. การเทรดแบบอัลกอริทึม (Algorithmic Trading)
Algorithmic Trading หรือการซื้อ-ขายด้วย Algo เป็นกลยุทธ์ที่กําหนดชุดคําสั่งและป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ เป็นกระบวนการอัตโนมัติที่ใช้ข้อมูลเช่นราคาเวลาและปริมาณการซื้อขายรวมถึงสูตรที่ซับซ้อนและโมเดลทางคณิตศาสตร์
การซื้อขายอัลกอริทึมใช้กลยุทธ์ตามกฎซึ่งการกําหนดกฎเป็นส่วนสําคัญ วัตถุประสงค์คือการผลิตสัญญาณที่จะซื้อหรือขายเมื่อไหร่และในราคาใดที่จะเข้าไปเทรด และทํากําไรเมื่อไหร่หรือวางจุด Stop-loss เมื่อใด
ซึ่งกฎเหล่านี้จะถูกปรับปรุงโดยเทรดเดอร์
ข้อดีของการเทรดด้วย Algo:
- อัลกอริธึมดำเนินการซื้อขายด้วยความเร็วและ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดในหน่วยมิลลิวินาที ด้วยความเร็วนี้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสระยะสั้นและดำเนินการคำสั่งซื้อจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการซื้อขายด้วยตนเอง
- การซื้อขาย Algo ขจัดอคติทางอารมณ์ที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของมนุษย์ ซึ่งจะเป็นไปตามกฎและกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ป้องกันการซื้อขายด้วยความรู้สึกหรือแรงกระตุ้น
- สามารถทดสอบอัลกอริทึมโดยใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อประเมินประสิทธิภาพ ภายใต้เงื่อนไขตลาดที่แตกต่างกัน นี่ช่วยให้เทรดเดอร์ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์ก่อนที่จะใช้พวกเขาในตลาดจริง
ข้อเสียของการเทรดด้วย Algo:
- การพัฒนา , การใช้งาน , และการบํารุงรักษาระบบการเทรดอัลกอริทึมต้องอาศัยทักษะและความรู้ด้านเทคนิคขั้นสูง
- อัลกอริทึมมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อบกพร่องทางเทคนิคข้อผิดพลาดและปัญหาการเชื่อมต่อที่อาจนําไปสู่การเทรดที่ไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ถูกตรวจสอบและจัดการอย่างเพียงพอ
- อัลกอริธึมอาจมีความยากลำบากเพื่อการปรับให้เข้ากับเหตุการณ์ข่าวที่ไม่คาดคิดหรือการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่รุนแรง ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียที่ไม่คาดคิด
6. การเทรดข่าว (News Trading)
การซื้อ-ขายตามข่าวอาศัยเหตุการณ์พื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน ซึ่งอาจเป็นกิจกรรมขององค์กร เช่น รายงานของรายได้ หรือเหตุการณ์พื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาด
เทรดเดอร์สายข่าวจะมองหาเพื่อระบุเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่หรือกิจกรรมขององค์กรที่กำหนดไว้ เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจหรือการเปิดเผยรายได้
จากนั้นพวกเขาจะวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้ ผลที่ตามมาจากการซื้อ-ขายที่อาจเกิดขึ้น จากนั้นกำหนดกลยุทธ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ เทรดเดอร์สายข่าวยังพยายามใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด เช่นจากข่าวด่วน
จุดมุ่งหมายคือการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคา , ก่อน , ระหว่าง หรือหลังเหตุการณ์ข่าว
ข้อดีของการเทรดข่าว:
- เหตุการณ์ข่าวใหญ่สามารถกระตุ้นการเคลื่อนไหวของราคาอย่างมากสร้างโอกาสสําหรับผลกําไรที่สําคัญในระยะเวลาสั้น ๆ
- นักเทรดข่าวมุ่งเน้นไปที่เหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นซึ่งทําให้พวกเขาสามารถมุ่งหน้าไปที่ปัจจัยที่กําหนดมากกว่าตลาดในวงกว้าง
- นักเทรดข่าวเจริญเติบโตในตลาดที่มีความผันผวน ซึ่งราคาที่มีความผันผวนกะทันหันนี้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว
ข้อเสียของการเทรดข่าว:
- การเทรดข่าวมีความเสี่ยงอย่างมากเนื่องจากลักษณะที่ไม่อาจคาดเดาได้ของปฏิกิริยาในตลาดต่อเหตุการณ์ข่าว
- ตลาดอาจตอบสนองต่อข่าวอย่างไม่แน่นอน โดยราคาจะแกว่งไปมาก่อนที่จะตกลงไปในอีกทิศทางหนึ่ง สิ่งนี้สามารถนำไปสู่สัญญาณที่ผิดพลาดสำหรับเทรดเดอร์
- การดำเนินการซื้อขายในช่วงเวลาของการประกาศข่าวอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็ว ความล่าช้าในการดำเนินการอาจส่งผลให้พลาดโอกาสหรือการซื้อ-ขายที่ไม่เอื้ออำนวย
7. การเทรดด้วย Trend (Trend Trading)
การเทรดด้วย Trend คือกลยุทธ์ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อคว้าโอกาสของตลาดโดยการระบุและปฏิบัติตามทิศทางของตลาด เทรดเดอร์พยายามที่จะเข้าซื้อ-ขายในทิศทางของ Trend และถือไว้จนกว่า Trend จะแสดงสัญญาณการกลับตัว
วิธีการนี้อาศัยหลักการที่ว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวใน Trend ที่ระบุได้ มากกว่ารูปแบบแบบสุ่ม นักเทรดด้วย Trend ใช้เครื่องมือและตัวบ่งชี้ต่างๆ เพื่อยืนยันทิศทางและความแข็งแกร่งของเทรนด์ เช่น เส้น MA , Trend Line, Average Directional Index (ADX)
นักเทรดตามเทรนด์มุ่งเน้นไปที่จุดสูงและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น และจุดสูงสุดที่ลดลงและจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าในแนวโน้มขาลง ในขณะที่จุดเข้าออเดอร์มักจะเป็น pullbacks หรือ Breakouts
ข้อดีของการเทรดด้วย Trend Line:
- จุดเข้าและออกจะขึ้นอยู่กับสัญญาณต่อเนื่องของแนวโน้มหรือสัญญาณกลับตัว ซึ่งสามารถทําให้การตัดสินใจง่ายขึ้น
- การซื้อ-ขายตามเทรนด์มักจะเป็นไปตามระบบที่อิงกฎเกณฑ์ ทำให้ง่ายต่อการจัดการอารมณ์และปฏิบัติตามแผนการซื้อ-ขาย
- ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ทิศทางของตลาดในวงกว้าง การซื้อ-ขายตามแนวโน้มสามารถช่วยลดสัญญาณรบกวนของตลาดได้โดยการกรองความผันผวนในระยะสั้นออกไปป
ข้อเสียของการเทรดด้วย Trend Line:
- เครื่องมือเช่นเส้นค่าเฉลี่ย MA อาจทำให้เกิดการเข้าและออกล่าช้า และอาจสูญเสียข้อมูลบางส่วนของการเคลื่อนไหวของราคา
- ในตลาดที่เปลี่ยนแปลง การเทรดอาจเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนําไปสู่ความเสี่ยงของการสูญเสีย
- การซื้อขายตาม Trend อาจมีประสิทธิภาพน้อยลงในตลาดที่มีความหลากหลายหรือตลาดที่มี Trend เป็น Sideways ซึ่งแนวโน้มไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน
8. การเทรดในกรอบราคา (Range Trading)
การเทรดด้วยวิธี Range Trading เป็นกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์ระบุการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างสองราคา ซึ่งเรียกว่าระดับแนวรับและแนวต้าน กลยุทธ์เกี่ยวข้องกับการซื้อที่ระดับแนวรับ (ล่างสุดของช่วง) และการขายที่ระดับแนวต้าน (บนสุดของช่วง)
วิธีนี้จะอนุมานได้ว่าราคาจะยังคงต่อเนื่องในระหว่างระดับที่กำหนดไว้จนกว่าจะเกิดการทะลุกรอบ เทรดเดอร์แบบ Range Trading จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดที่ไม่มีแนวโน้มระยะยาวที่ชัดเจนและเคลื่อนไหวภายในขอบเขต
เครื่องมือสำคัญ ได้แก่ oscillators เช่น RSI และ Stochastic ซึ่งช่วยระบุสภาวะการซื้อเกินและการขายเกินภายในช่วง เทรดเดอร์ตามระยะยังจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของปริมาณและสัญญาณอื่น ๆ ของ Breakouts ที่อาจเกิดขึ้น
ข้อดีของการเทรด Range Trading:
- ตลาด Range-bound จะมีโอกาสในการซื้อ-ขายที่หลากหลายเนื่องจากราคามีการผันผวนภายในช่วงดังกล่าว
- แนวรับและแนวต้าน สามารถทําให้จุดเข้าและจุดออก ถูกกําหนดอย่างชัดเจน
- การซื้อ-ขายแบบ Range Trading จะมีประโยชน์ในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม ซึ่งกลยุทธ์อื่นอาจมีโอกาสล้มเหลวสูงกว่า
ข้อเสียของการเทรด Range Trading:
- ผลกำไรจะถูกจำกัดตามขอบเขตของช่วง ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายตามแนวโน้มที่กำไรอาจมากกว่า
- เทรดเดอร์จำเป็นต้องจับตาดูตลาดบ่อยครั้งเพื่อระบุช่วงและจุด Breakouts
- ราคาอาจทะลุออกจากช่วงโดยไม่คาดคิดหรือสร้างสัญญาณที่ผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่ผันผวนซึ่งราคาพุ่งสูงขึ้น
สรุปกลยุทธ์การเทรด
ประเภทกลยุทธ์การเทรด | ช่วงเวลา | ระยะเวลาการซื้อขาย |
---|---|---|
การเทรดแบบถือครองระยะยาว (Position Trading) | ระยะสั้นถึงระยะกลาง | วัน , สัปดาห์ |
การเทรดแบบแกว่ง (Swing Trading) | ระยะสั้นถึงระยะกลาง | วัน , สัปดาห์ |
การเทรดแบบรายวัน (Day Trading) | ระยะสั้น | นาที, ชั่วโมง |
การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action Trading) | ระยะสั้นถึงระยะกลาง | นาที, ชั่วโมง, วัน, สัปดาห์ |
การเทรดแบบอัลกอริทึม (Algorithmic Trading) | ระยะสั้นมาก (ส่วนใหญ่) | วินาที , นาที |
การเทรดข่าว (News Trading) | ระยะสั้น | วินาที , นาที ,ชั่วโมง |
การเทรดด้วย Trend (Trend Trading) | ระยะกลางถึงระยะยาว | สัปดาห์ , เดือน |
การเทรดในกรอบราคา (Range Trading) | ระยะสั้นถึงระยะกลาง | วัน , สัปดาห์ |
กลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดสําหรับคุณคืออะไร?
มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาในการตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับคุณที่สุด โดยมีรายการดังนี้:
- สภาพจิตใจและลักษณะนิสัยของคุณ
- ความตั้งใจและเป้าหมายในการเทรดของคุณ
- เวลาที่คุณสามารถทุ่มให้กับการเทรด
- อะไรที่ “รู้สึก” ว่าใช่
สภาพจิตใจและลักษณะนิสัยของคุณ: นอกจากสังเกตสิ่งที่คุณทำจะเป็นประโยชน์แล้ว การสังเกตสิ่งที่คุณไม่ทำก่อนการเทรดก็สำคัญพอๆ กัน ทั้งในด้านจิตใจและลักษณะส่วนบุคคล ยกตัวอย่างเช่น หากคุณไม่มีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ การเทรดตามชุดคำสั่งก็ไม่เหมาะกับคุณ ถ้าคุณมีทักษะการวิเคราะห์สูงการเทรดตามข่าวสารอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ หากคุณสามารถดูกราฟและตัดสินใจได้อย่างสบายๆ คุณอาจจะเหมาะกับการเทรดแบบสวิง ถือตำแหน่ง หรือแม้แต่การเทรดแบบรายวัน
เป้าหมายการเทรดของคุณคืออะไร ลองถามตัวเองดู คุณตั้งใจจะเทรดเต็มเวลาและให้การเทรดเป็นรายได้หลักเลยหรือเปล่า ถ้าคำตอบคือใช่ คุณอาจต้องลองศึกษาการเทรดระยะสั้นเช่นการเทรดแบบรายวัน แต่ถ้าคุณมองหารายได้เสริม การเทรดแบบสวิงหรือถือตำแหน่งอาจเหมาะกับคุณมากกว่า
คุณมีเวลาเทรดมากแค่ไหน ถ้าคุณไม่สามารถติดตามตลาดหุ้นได้อย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวัน คุณก็ไม่สามารถใช้การเทรดแบบรายวันได้ ถ้าคุณมีเวลาวิเคราะห์ตลาดและซื้อหุ้นอย่างจำกัดในแต่ละวัน การเทรดแบบถือตำแหน่งหรือสวิงอาจเหมาะกับคุณมากกว่า
อะไรที่คุณ “รู้สึก” ว่าใช่ ลองใช้กลยุทธ์การเทรดแบบต่างๆ ด้วยบัญชีจำลองเพื่อหาว่าวิธีการแบบไหนเหมาะกับคุณและกลยุทธ์แบบไหนที่ได้กำไร
แพลตฟอร์มสําหรับกลยุทธ์การซื้อ-ขายที่แตกต่างกัน
หากคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มใช้กลยุทธ์การซื้อ-ขายต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร หรือต้องการทดสอบระบบเทรดใหม่ๆ คุณสามารถทําได้ในบัญชีทดลองโดยไม่มีความเสี่ยงกับเงินทุนของคุณ
บัญชีทดลองเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทดลองกลยุทธ์ใหม่ในสภาพตลาดจริงและดูว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไรโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินทุนจริง คุณยังสามารถฝึกในบัญชีทดลอง จนกว่าคุณจะได้รับความมั่นใจในความสามารถในการซื้อ-ขายทุนของคุณในสภาพตลาดจริง
ด้วย Hantec Markets คุณสามารถลงชื่อสมัครใช้บัญชีทดลองและเข้าถึง MetaTrader4® และ Metatrader 5® เพื่อให้ได้ประสบการณ์การซื้อขายที่สมบูรณ์แบบพร้อมกับเครื่องมือที่เหมาะสม
ต้องการที่จะไปซื้อ-ขายโดยตรง? เปิดบัญชี Hantec Markets ในไม่กี่นาทีและเริ่มเทรด!
คุณยังสามารถอ่านเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดของเทรดเดอร์ทั่วไปและวิธีการสร้างแผนการเทรดที่ประสบความสําเร็จ