เทรด CFD หรือเทรดแบบดั้งเดิม: แบบไหนเหมาะกับคุณ?

📅 08.23.2023 👤 Sharon Lewis

ในขณะที่การเทรดรูปแบบดั้งเดิมเป็นที่นิยมกันทั่วโลกอยู่แล้ว ตราสารสำหรับการเทรดที่ไม่ค่อยเป็ที่รู้จัก นั่นคือสัญญาซื้อขายส่วนต่างหรือ Contracts for Difference (CFD) ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว การเทรด CFD และการเทรดแบบดั้งเดิมต่างก็มีลักษณะ ข้อดี และข้อเสียที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยมีความแตกต่างที่สำคัญบางประการที่ทำให้ทั้งสองสิ่งนี้แตกต่างกัน

ข่าวดีก็คือเทรดเดอร์สามารถเลือกเทรดทั้งสองแบบเพื่อเพิ่มผลตอบแทนเข้าพอร์ตของตนได้ ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกข้อดีและข้อเสียของการเทรด CFD และการเทรดแบบดั้งเดิมเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้พอร์ตของคุณเติบโตได้อย่างไร

ข้อมูลสั้นๆ:

  • สัญญาซื้อขายส่วนต่างเป็นตราสารอนุพันธ์ที่เทรดเดอร์สามารถเก็งการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ได้โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์เอง
  • ซึ่งแตกต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิมที่เทรดเดอร์ต้องเป็นเจ้าของและถือครองสินทรัพย์โดยสมบูรณ์
  • เทรดเดอร์ที่เทรด CFD ยังสามารถเข้าถึงการเทรดด้วยเลเวอเรจเพื่อให้สามารถเทรดในปริมาณที่มากขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง
  • ทั้งสองแบบให้การเข้าถึงสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น ฟอเร็กซ์ ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ หุ้น และอีกมากมาย

สารบัญ:

การเทรด CFD คืออะไร?

การเทรดสัญญาซื้อขายส่วนต่างหรือ Contracts for Difference (CFD) เป็นวิธีการซื้อขายอนุพันธ์ที่เปิดให้นักลงทุนเก็งกำไรในความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อ้างอิงโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของจริง ซึ่งจะสะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อ้างอิง และเทรดเดอร์จะเก็งราคาที่เคลื่อนไหวเหล่านี้ แทนที่จะซื้อหรือขายในตัวสินทรัพย์โดยตรง

การเทรด CFD มีขั้นตอนอย่างไร?

ที่นี่ฝ่ายผู้ซื้อและฝ่ายผู้ขายจะเข้าสู่ "สัญญา" โดยที่ผู้ซื้อตกลงที่จะชำระ "ส่วนต่าง" ราคาของมูลค่าสินทรัพย์ในปัจจุบันกับมูลค่า ณ เวลาที่ชำระบัญชี จึงเป็นที่มาของชื่อ "สัญญาซื้อขายส่วนต่าง"

คุณสมบัติสำคัญของการเทรด CFD คือเลเวอเรจ โดยเลเวอเรจช่วยให้คุณสามารถเทรดในปริมาณที่มากขึ้นด้วยเงินฝากที่น้อยลง

ตรงนี้จะขึ้นอยู่กับเงินฝากของคุณ (หรือมาร์จิ้น) โดยโบรกเกอร์จะ "ให้ยืม" เงินทุนเพิ่มเติมตามอัตราส่วนเลเวอเรจที่คุณใช้ เพื่อให้คุณสามารถเทรดได้ด้วยมูลค่าที่สูงขึ้น เราใช้คำว่า "ให้ยืม" เนื่องจากคุณจะไม่ได้เก็บเงินทุนนั้นไว้ คุณเพียงแค่เทรดด้วยเงินทุนนั้นเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีปัญหาเรื่องการคืนเงินให้กับโบรกเกอร์ของคุณ (เนื่องจากคุณไม่สามารถเก็บไว้ได้ตั้งแต่แรก) แต่ผลกำไรหรือขาดทุนของคุณจะขึ้นอยู่กับมูลค่าเต็มของการเทรด

คุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งของการเทรดรูปแบบนี้คือความสามารถในการทำได้ทั้งสองทั้ง นั่นคือ Long หรือ Short

หมายความว่าเทรดเดอร์จะได้รับประโยชน์จากราคาไม่ใช่แค่ช่วงที่ราคาปรับสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเมื่อราคาปรับลดลงด้วย ตัวเลือกในการทำได้ทั้ง Long และ Short ทำให้เทรดเดอร์มีความยืดหยุ่นในการป้องกันความเสี่ยงโดยการถือสถานะที่ตรงกันข้ามกัน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงสุทธิให้เหลือน้อยที่สุด

ข้อดีของการเทรด CFD:

  • เลเวอเรจ: การเทรด CFD มอบเลเวอเรจที่สำคัญ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมสถานะที่ใหญ่ขึ้นได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มแรกที่น้อยลง สิ่งนี้ขยายได้ทั้งผลกำไรและขาดทุน ดังนั้นเทรดเดอร์จำเป็นต้องมีนโยบายบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
  • ความหลากหลายในสินทรัพย์: CFD ให้คุณเข้าถึงตราสารทางการเงินที่หลากหลาย เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ คริปโตเคอเรนซี่ และดัชนี โดยฟอเร็กซ์, ทองคำ และน้ำมันเป็นสินทรัพย์ CFD บางส่วนที่มีการเทรดกันมากที่สุดเนื่องจากราคาที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
  • ความเป็นเจ้าของ: ผู้เทรด CFD ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงต้นทุนและความซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของในการเทรดแบบดั้งเดิมได้ โดยทั่วไปแล้วโบรกเกอร์จะทำการยืนยันตัวตนเบื้องต้นให้เสร็จสิ้น จากนั้นเทรดเดอร์ก็จะสามารถทำการเทรดได้โดยตรง
  • การขายชอร์ต: การเทรด CFD เปิดให้เทรดเดอร์ทำกำไรจากตลาดขาลงได้จากการขายชอร์ต ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยในการเทรดแบบดั้งเดิม หมายความว่าคุณสามารถใช้ประโยชน์จากราคาไม่ใช่แค่ช่วงที่ราคาปรับสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเมื่อราคาปรับลดลงด้วย
  • การป้องกันความเสี่ยง (Hedging): CFD ช่วยให้คุณสามารถป้องกันความเสี่ยงจากสถานะของคุณได้ หมายความว่าคุณสามารถเปิดสถานะการเทรดใหม่เพื่อชดเชยการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานะที่มีอยู่ได้

ข้อเสียของการเทรด CFD:

  • ความเสี่ยง: แม้ว่าเลเวอเรจจะช่วยเพิ่มผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ก็ทำให้เทรดเดอร์มีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น โดยทั่วไปเทรดเดอร์จะต้องมีแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อลดทอนการขาดทุนด้วย
  • ระยะสั้น: CFD เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำกำไรในระยะสั้น มากกว่าการถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลานาน เช่น เป็นระยะเวลาหลายปี
  • ความเป็นเจ้าของ: เทรดเดอร์ที่ต้องการเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงโดยสมบูรณ์สามารถเลือกเทรดในตลาดหุ้นหรือการลงทุนอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้ CFD

การเทรดแบบดั้งเดิมคืออะไร?

การเทรด CFD มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการเทรดแบบดั้งเดิม ตามเนื้อผ้าแล้ว การเทรดเกี่ยวข้องกับการซื้อและขายหลักทรัพย์ต่างๆ เช่น คู่ฟอเร็กซ์, หุ้น, ทองคำ เป็นต้น โดยมีความเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ ซึ่งแตกต่างจาก CFD ที่เมื่อเทรดเดอร์ซื้อและขายแบบดั้งเดิม พวกเขาจะกลายเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยตรงและรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของ 

นอกจากนี้ คุณไม่สามารถใช้เลเวอเรจได้ในการเทรดแบบดั้งเดิม หมายความว่าคุณจะต้องมีมูลค่าสำหรับการเทรดล่วงหน้าเต็มจำนวนเพื่อดำเนินการ โดยคุณจะต้องฝากเงินจำนวนมากของคุณเองเข้าไปก่อน

ข้อดีของการเทรดแบบดั้งเดิม:

  • ความเป็นเจ้าของ: ผู้เทรดแบบดั้งเดิมมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่พวกเขาซื้อโดยสมบูรณ์ ทำให้พวกเขาได้รับเงินปันผล โบนัส และสิทธิต่างๆ
  • ความหลากหลายในสินทรัพย์: เช่นเดียวกับ CFD การเทรดแบบดั้งเดิมให้คุณเข้าถึงสินทรัพย์ประเภทต่างๆ จากประเภทตราสารที่หลากหลาย
  • สิทธิ์เข้าถึงตลาดซื้อขาย: เทรดเดอร์บางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์สูงหรือเป็นสถาบัน อาจเลือกดำเนินการกับตลาดซื้อขายโดยตรงเมื่อทำการเทรด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงชอบการเทรดแบบดั้งเดิม
  • ไม่มีวันหมดอายุ: การเทรดแบบดั้งเดิมไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาที่มีวันหมดอายุเฉพาะเจาะจงเหมือนในตราสารอนุพันธ์ สิ่งนี้ทำให้คุณสามารถถือครองสินทรัพย์ได้อย่างไม่มีกำหนด ทำให้คุณมีความยืดหยุ่นในการตัดสินใจมากขึ้น

ข้อเสียของการเทรดแบบดั้งเดิม:

  • ต้นทุนการทำธุรกรรม: การเทรดแบบดั้งเดิมอาจมีต้นทุนการทำธุรกรรมสูง เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ซึ่งอาจทำให้กำไรลดลง
  • การยากต่อการทำกำไรจากตลาดขาลง: หากตลาดปรับตัวลดลง คุณจะไม่สามารถทำกำไรจากการขายสินทรัพย์ที่ตกต่ำลงได้

ทางเลือกระหว่างการเทรด CFD กับการเทรดแบบดั้งเดิมขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ เป้าหมายทางการเงิน กลยุทธ์การเทรด และความคุ้นเคยกับตราสารที่คุณเลือกเทรด

ท้ายที่สุดแล้ว การเทรด CFD และการเทรดแบบดั้งเดิมต่างก็ตอบสนองความต้องการในการเทรดได้เหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเทรดของคุณ

การเทรด CFD มอบความสะดวกในสถานะที่ใช้เลเวอเรจ เข้าถึงตลาดได้ง่าย และความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง การเทรดแบบดั้งเดิมให้การเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยตรง และให้ความยืดหยุ่นด้านเวลาเมื่อคุณต้องการปิดสถานะของคุณ

 ท้ายที่สุดแล้ว พอร์ตของคุณสามารถใช้ประโยชน์ได้จากทั้งการเทรดแบบดั้งเดิมและผลิตภัณฑ์ CFD การสละเวลาเพื่อทำความเข้าใจว่าคุณสามารถรวมการเทรดทั้งสองแบบเข้าในพอร์ตของคุณได้อย่างไรจะช่วยคุณเพิ่มมูลค่าได้เป็นอย่างมาก

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเทรด

ถาม: การเทรดคืออะไร?

ตอบ: การเทรดหมายถึงการซื้อและการขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น สกุลเงิน หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีจุดมุ่งหมายในการทำกำไรจากความผันผวนของราคา ในที่นี้เทรดเดอร์จะเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่พวกเขากำลังเทรดอย่างแท้จริง

ถาม: CFD คืออะไร?

ตอบ: สัญญาซื้อขายส่วนต่างหรือ Contracts for Difference (CFD) เป็นตราสารอนุพันธ์ทางการเงินที่เปิดให้เทรดเดอร์เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง เทรดเดอร์จะได้กำไรหรือขาดทุนจากส่วนต่างระหว่างราคาของสินทรัพย์ที่จุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดของสัญญา

ถาม: การเทรด CFD แตกต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิมอย่างไร?

ตอบ: การเทรด CFD เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ซึ่งต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิมที่เทรดเดอร์ซื้อและเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงจริง CFD ให้ความยืดหยุ่นในการทำกำไรจากทั้งตลาดขาขึ้นและขาลงผ่านสถานะ Long (ซื้อ) และ Short (ขาย) และมักจะให้ใช้เลเวอเรจเพื่อขยายผลกำไรและขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น

ถาม: เลเวอเรจคืออะไร?

ตอบ: เลเวอเรจในการเทรดหมายถึงการยืมเงินจากโบรกเกอร์มาเพื่อให้สามารถถือสถานะในขนาดที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินลงทุนเริ่มแรกที่น้อยลง โดยจะขยายผลกำไรหรือขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากผลกำไรหรือขาดทุนจะขึ้นอยู่กับขนาดสถานะรวมแทนที่จะเป็นแค่ส่วนของเงินลงทุนเริ่มแรก

ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหาของบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ใช่คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะในการซื้อขายในทุกรูปแบบ