8 กลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดสําหรับปี 2025

📅 08.16.2024 👤 Steve Miley

อัปเดตเมื่อกรกฎาคม 2025 โดย Sharon Lewis

เราสามารถพูดได้ว่ากลยุทธ์การเทรดนั้นมีมากมายพอๆกับเทรดเดอร์ เทรดเดอร์แต่ละคนนั้นต่างก็มีแนวทางและคุณสมบัติที่เฉพาะตัวของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ก็มีบางกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับความนิยมมานานหลายทศวรรษ เป็นวิธีการที่ผ่านการทดลองและทดสอบอย่างเป็นขั้นตอนที่ยังคงใช้โดยเทรดเดอร์ทั่วโลก มาพบการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเทรดที่แตกต่างตามเฉพาะบุคคลและค้นหากลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดสําหรับคุณ

ในคู่มือนี้เราจะมาดู:

กลยุทธ์การเทรด คืออะไร

กลยุทธ์การเทรดเป็นระบบที่ใช้โดยเทรดเดอร์เพื่อช่วยในการตัดสินใจอย่างรอบคอบในตลาดการเงิน พวกเขาปฎิบัติอย่างเป็นขั้นตอนทีละขั้น เพื่อช่วยให้พวกเขาเหล่าเทรดเดอร์สามารถจับโอกาสท่ามกลางความผันผวนในตลาดและจัดการความเสี่ยงของพวกเขา

กลยุทธ์การเทรดอาจเป็นระยะสั้นหรือระยะยาวขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของการเทรด

ด้วยกลยุทธ์การเทรด เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจเมื่อซื้อและขาย ดูปริมาณการซื้อ-ขายในขณะนั้น และเรียนรู้วิธีการป้องกันเงินทุนตัวเองจากการสูญเสียขนาดใหญ่

1. การเทรดแบบถือครองระยะยาว (Position Trading)

คือการซื้อ-ขายในตำแหน่งที่สอดคล้องกับแนวโน้มหลัก ในระยะเวลาสั้นถึงระยะกลาง โดยปกติจะถูกกําหนดในกรอบเวลาของกราฟประจําวัน

แม้ว่าจะมีวิธีการและแนวทางที่หลากหลาย แต่หลักการสำคัญคือการถือ Position เป็นระยะเวลาหลักหลายวันหรือหลายสัปดาห์ กลยุทธ์นี้ใช้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวและแนวโน้มของสินทรัพย์หลักในตลาด

อดีของการซื้อ-ขาย แบบ Position Trading

  • การซื้อขายแบบ Position Trading ไม่ต้องการความสนใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความเครียดน้อยกว่า เมื่อเทียบกับกลยุทธ์การเทรดแบบระยะสั้น
  • เป็นการมุ่งเน้นไปที่ภาพที่ใหญ่ เทรดเดอร์สามารถจับแนวโน้มสินทรัพย์หลักในตลาดได้ดีและมีศักยภาพที่จะได้ทำผลกําไร
  • การซื้อขายแบบ Position Trading ไม่ถูกรบกวนของความผันผวนในตลาดทุกวันซึ่งสามารถช่วยให้พวกเขาตัดสินใจอย่างสงบรอบคอบ

ข้อเสียของการซื้อ-ขาย แบบ Position Trading

  • อาจใช้เวลานานที่จะเห็นผลการซื้อ-ขายในแต่ละครั้ง และการซื้อ-ขายที่ใช้ระยะเวลานานอาจไม่เหมาะสําหรับทุกคน
  • การเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นที่มองไม่เห็นในกราฟประจําวันอาจส่งผลกระทบต่อ Position การซื้อ-ขายของเทรดเดอร์โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
  • Position trading อาจทำให้ยึดติดหรือติดภาพกับการเทรดผิดพลาดหรือสูญเสียได้ หาก Trend หรือแนวโน้มหลักขัดกับความเห็นของคุณ ซึ่งอาจนําไปสู่การสูญเสียที่ใหญ่กว่า

ความเหมาะสมของตลาด: เหมาะสำหรับหุ้น คู่สกุลเงินฟอเร็กซ์ และสกุลเงินดิจิทัล

ระยะเวลาที่ต้องใช้: ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวันในการวิเคราะห์และจัดการสถานะการลงทุน

ระดับทักษะที่แนะนำ: ระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง

2. การเทรดแบบแกว่ง (Swing Trading)

การซื้อ-ขายแบบ Swing Trade นั้นเหมือนกับการซื้อ-ขายแบบ Position trading แต่เทรดเดอร์จะมองหาการเคลื่อนที่ของราคาในทั้งสองทิศทาง ภายในแนวโน้มหลัก การเทรดแบบ Swing trading มักจะทําในระยะสั้น แทนที่จะเป็นระยะกลางหรือระยะยาว

โดยปกติทั่วไปนักเทรดแบบ Swing trading จะมองภาพรวมและถือออเดอร์ในตลาดเป็นระยะเวลาสองสามวัน หรือเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เทรดเดอร์แบบ Swing trading มักใช้กลยุทธ์การซื้อขาย ด้วยแนวโน้มหลัก , การเทรดแบบ counter-trend , Momentum , หรือ Breakout

ข้อดีของการเทรดแบบ Swing trading:

  • ตั้งอยู่ระหว่างการซื้อ-ขายในระยะสั้นและระยะยาว การซื้อ-ขายแบบ Swing tradingช่วยให้เทรดเดอร์สามารถจับภาพการเคลื่อนไหวของราคาในเวลาไม่กี่วันถึงสัปดาห์
  • สามารถมุ่งเป้าไปที่การจับการเคลื่อนไหวของราคาภายในแนวโน้มหลัก เทรดเดอร์สามารถได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของตลาดทั้งขึ้นและลง
  • การซื้อ-ขายแบบ Swing trading ไม่ต้องการความสนใจหรือจดจ่ออย่างต่อเนื่องในการซื้อ-ขายในรายวัน สิ่งนี้ช่วยลดความกดดันให้กับเทรดเดอร์ ทําให้เข้าถึงได้มากขึ้นสําหรับผู้ที่มีงานเต็มเวลาหรือภาระผูกพันอื่น ๆ

ข้อเสียของการเทรดแบบ Swing trading: 

  • การถือออเดอร์เป็นเวลาหลายวันทําให้เทรดเดอร์ต้องเผชิญกับการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดข้ามคืนและช่องว่างของราคาซึ่งอาจนําไปสู่การสูญเสียที่ไม่อาจคาดเดาได้
  • การเทรดแบบ Swing trading อาจมีการรับมือไม่สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของราคาในระยะสั้น ซึ่งการเคลื่อนที่ของราคาที่รวดเร็วของตลาดที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาที่พวกเขาเลือก
  • นักเทรดแบบ Swing trading อาจพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในอารมณ์ของตลาดหรือเหตุการณ์ข่าวที่ไม่คาดคิดที่สามารถทําลายการซื้อ-ขายและกลยุทธ์ที่วางแผนไว้ของพวกเขา

ความเหมาะสมของตลาด: เหมาะสำหรับหุ้น คู่สกุลเงินฟอเร็กซ์ และสกุลเงินดิจิทัล

ระยะเวลาที่ต้องใช้: ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวันในการวิเคราะห์และจัดการสถานะการลงทุน

ระดับทักษะที่แนะนำ: ระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง

3. การเทรดแบบรายวัน (Day Trading)

การเทรดภายในวัน คือการเปิดและปิด Position การซื้อ-ขายในวันเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ซื้อขายวันจะทําการซื้อ-ขายเพียงครั้งเดียวต่อวัน

หัวใจหลักของการเทรดแบบรายวัน คือความเรียบง่ายโดยที่พวกเขาต้องปิดตําแหน่งการซื้อ-ขายทั้งหมดก่อนที่จะจบวันทําการซื้อขาย เทรดเดอร์รายวันมักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือสําคัญโดยใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเช่น RSI (Relative Strength Index), MACD (Moving Average Convergence Divergence) และ Stochastic Oscillator เพื่อช่วยระบุสภาพตลาดและช่วยในการตัดสินใจการซื้อขาย

ข้อดีของการเทรดแบบรายวัน:

  • การซื้อ-ขายภายในวัน มุ่งเป้าไปที่การใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวในราคาในระยะสั้นภายในหนึ่งวันโดยมีโอกาสที่จะได้ผลกําไรได้รวดเร็ว
  • การซื้อ-ขายภายในวัน ช่วยกําจัดความเสี่ยงของความผันผวนในตลาด ในเวลากลางคืนหรือเหตุการณ์ข่าวที่ไม่คาดคิด ที่อาจส่งผลกระทบต่อการซื้อ-ขายของพวกเขา
  • การซื้อ-ขายภายในวัน ไม่ผูกมัดต่อเงินทุนเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ทําให้เทรดเดอร์สามารถเข้าถึงเงินทุนของพวกเขาในตอนจบของวันซื้อ-ขายแต่ละวัน นี่อาจเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจสําหรับผู้ที่ชอบความมีสภาพคล่อง

ข้อเสียของการเทรดแบบรายวัน:

  • ธรรมชาติของการซื้อ-ขายแบบรายวันที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเรื่องท้าทายจิตใจและอารมณ์สําหรับเทรดเดอร์และเทรดเดอร์รายใหม่อาจมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น
  • การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นอาจได้รับอิทธิพลจากความผันผวน ทำให้เกิดความท้าทายในการแยกแยะระหว่างแนวโน้มที่สำคัญและการเคลื่อนไหวของตลาดชั่วคราว
  • การซื้อและขายบ่อยๆ ภายในวัน อาจนําไปสู่ค่าใช้จ่ายในการทําธุรกรรมที่สูงขึ้น รวมถึงค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียม

ความเหมาะสมของตลาด: เหมาะที่สุดสำหรับฟอเร็กซ์ หุ้นหลัก ๆ และฟิวเจอร์สดัชนีที่มีความผันผวนภายในวันสูง

ระยะเวลาในการเทรด: โดยปกติใช้เวลา 4–8 ชั่วโมงต่อวันในช่วงเวลาตลาดเปิด

ระดับทักษะที่แนะนำ: ระดับกลางถึงขั้นสูง

4. การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action Trading)

การเทรดด้วย Price action นั้นเรียบง่ายซึ่งเป็นการซื้อ-ขาย ผ่านการเคลื่อนไหวของราคา การเปลี่ยนแปลงของราคาในกรอบเวลาที่ต่างกัน เทรดเดอร์ Price Action ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงราคาเหล่านี้สร้างแนวโน้มราคาหรือรูปแบบราคาอย่างไร จากนั้นจึงเทรดตาม Price Action

ขั้นแรก จำเป็นต้องตัดสินใจเกี่ยวกับกรอบเวลาที่คุณต้องการซื้อ-ขาย จากนั้นจึงระบุกลยุทธ์การซื้อขายแบบ Price Action คุณจะใช้ เทรดเดอร์ Price Action มองหาการเคลื่อนไหวของราคาที่โดดเด่นในกรอบเวลาของตน รับรู้แนวโน้มหรือรูปแบบที่โดดเด่น จากนั้นเข้าสู่การซื้อขายในทิศทางของสัญญาณการเคลื่อนไหวของราคา

ข้อดีของการเทรดด้วย Price action:

  • การเทรดด้วย Price action ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาบนกราฟ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ตัวบ่งชี้หรือเครื่องมือที่ซับซ้อน
  • เทรดเดอร์ Price action จะศึกษารูปแบบ แนวโน้ม และการก่อตัวของแท่งเทียนเพื่อทำความเข้าใจจิตวิทยาและความเชื่อมั่นของตลาด ซึ่งอาจให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
  • หลักการของ Price action สามารถนำไปใช้กับหลากหลายตลาดและกรอบเวลาต่างๆ ได้ ทำให้มีความหลากหลายสำหรับเทรดเดอร์ที่สนใจหุ้น ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ และอื่นๆ

ข้อเสียของการเทรดด้วย Price action: 

  • การวิเคราะห์รูปแบบ Price action pattern ของเทรดเดอร์อาจต่างออกไปในแต่ละคน เนื่องจากเทรดเดอร์แต่ละรายอาจตีความกราฟเดียวกันต่างกันออกไป
  • การทำความเข้าใจรูปแบบ Price action pattern และ Trend อย่างมีประสิทธิภาพมักต้องใช้ประสบการณ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
  • รูปแบบ Price action pattern ไม่ใช่ตัวบ่งชี้หรือทำให้เข้าใจผิดได้ และบางครั้งสามารถสร้างสัญญาณที่ผิดพลาด ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจซื้อ-ขายที่ไม่ถูกต้อง

ความเหมาะสมของตลาด: เหมาะกับฟอเร็กซ์ หุ้น คริปโต และสินค้าโภคภัณฑ์

ระยะเวลาที่ต้องใช้: โดยปกติประมาณ 1–2 ชั่วโมงต่อวันในการวิเคราะห์กราฟและวางแผนการเทรด

ระดับทักษะที่แนะนำ: ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงขั้นสูง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของรูปแบบกราฟ

5. การเทรดแบบอัลกอริทึม (Algorithmic Trading)

Algorithmic Trading หรือการซื้อ-ขายด้วย Algo เป็นกลยุทธ์ที่กําหนดชุดคําสั่งและป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ เป็นกระบวนการอัตโนมัติที่ใช้ข้อมูลเช่นราคาเวลาและปริมาณการซื้อขายรวมถึงสูตรที่ซับซ้อนและโมเดลทางคณิตศาสตร์

การซื้อขายอัลกอริทึมใช้กลยุทธ์ตามกฎซึ่งการกําหนดกฎเป็นส่วนสําคัญ วัตถุประสงค์คือการผลิตสัญญาณที่จะซื้อหรือขายเมื่อไหร่และในราคาใดที่จะเข้าไปเทรด และทํากําไรเมื่อไหร่หรือวางจุด Stop-loss เมื่อใด

ซึ่งกฎเหล่านี้จะถูกปรับปรุงโดยเทรดเดอร์

ข้อดีของการเทรดด้วย Algo:

  • อัลกอริธึมดำเนินการซื้อขายด้วยความเร็วและ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดในหน่วยมิลลิวินาที ด้วยความเร็วนี้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสระยะสั้นและดำเนินการคำสั่งซื้อจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการซื้อขายด้วยตนเอง
  • การซื้อขาย Algo ขจัดอคติทางอารมณ์ที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของมนุษย์ ซึ่งจะเป็นไปตามกฎและกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ป้องกันการซื้อขายด้วยความรู้สึกหรือแรงกระตุ้น
  • สามารถทดสอบอัลกอริทึมโดยใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อประเมินประสิทธิภาพ ภายใต้เงื่อนไขตลาดที่แตกต่างกัน นี่ช่วยให้เทรดเดอร์ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์ก่อนที่จะใช้พวกเขาในตลาดจริง

ข้อเสียของการเทรดด้วย Algo:

  • การพัฒนา , การใช้งาน , และการบํารุงรักษาระบบการเทรดอัลกอริทึมต้องอาศัยทักษะและความรู้ด้านเทคนิคขั้นสูง
  • อัลกอริทึมมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อบกพร่องทางเทคนิคข้อผิดพลาดและปัญหาการเชื่อมต่อที่อาจนําไปสู่การเทรดที่ไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ถูกตรวจสอบและจัดการอย่างเพียงพอ
  • อัลกอริธึมอาจมีความยากลำบากเพื่อการปรับให้เข้ากับเหตุการณ์ข่าวที่ไม่คาดคิดหรือการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่รุนแรง ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียที่ไม่คาดคิด

ความเหมาะสมของตลาด: เหมาะที่สุดสำหรับการเทรดฟอเร็กซ์ หุ้น และคริปโตเคอร์เรนซีขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง

ระยะเวลาที่ต้องใช้: ใช้เวลาสูงในช่วงเริ่มต้นและการทดสอบ แต่หลังจากนั้นต้องใช้เวลาติดตามเพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน

ระดับทักษะที่แนะนำ: สำหรับผู้มีทักษะขั้นสูงเท่านั้น

6. การเทรดข่าว (News Trading)

การซื้อ-ขายตามข่าวอาศัยเหตุการณ์พื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน ซึ่งอาจเป็นกิจกรรมขององค์กร เช่น รายงานของรายได้ หรือเหตุการณ์พื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาด

เทรดเดอร์สายข่าวจะมองหาเพื่อระบุเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่หรือกิจกรรมขององค์กรที่กำหนดไว้ เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจหรือการเปิดเผยรายได้

จากนั้นพวกเขาจะวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้ ผลที่ตามมาจากการซื้อ-ขายที่อาจเกิดขึ้น จากนั้นกำหนดกลยุทธ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ เทรดเดอร์สายข่าวยังพยายามใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด เช่นจากข่าวด่วน

จุดมุ่งหมายคือการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคา , ก่อน , ระหว่าง หรือหลังเหตุการณ์ข่าว

ข้อดีของการเทรดข่าว:

  • เหตุการณ์ข่าวใหญ่สามารถกระตุ้นการเคลื่อนไหวของราคาอย่างมากสร้างโอกาสสําหรับผลกําไรที่สําคัญในระยะเวลาสั้น ๆ
  • นักเทรดข่าวมุ่งเน้นไปที่เหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นซึ่งทําให้พวกเขาสามารถมุ่งหน้าไปที่ปัจจัยที่กําหนดมากกว่าตลาดในวงกว้าง
  • นักเทรดข่าวเจริญเติบโตในตลาดที่มีความผันผวน ซึ่งราคาที่มีความผันผวนกะทันหันนี้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว

ข้อเสียของการเทรดข่าว:

  • การเทรดข่าวมีความเสี่ยงอย่างมากเนื่องจากลักษณะที่ไม่อาจคาดเดาได้ของปฏิกิริยาในตลาดต่อเหตุการณ์ข่าว
  • ตลาดอาจตอบสนองต่อข่าวอย่างไม่แน่นอน โดยราคาจะแกว่งไปมาก่อนที่จะตกลงไปในอีกทิศทางหนึ่ง สิ่งนี้สามารถนำไปสู่สัญญาณที่ผิดพลาดสำหรับเทรดเดอร์
  • การดำเนินการซื้อขายในช่วงเวลาของการประกาศข่าวอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็ว ความล่าช้าในการดำเนินการอาจส่งผลให้พลาดโอกาสหรือการซื้อ-ขายที่ไม่เอื้ออำนวย

ความเหมาะสมของตลาด: เหมาะที่สุดสำหรับการเทรดฟอเร็กซ์ หุ้น และดัชนี ในช่วงที่มีการประกาศผลประกอบการหรือข้อมูลเศรษฐกิจ

ระยะเวลาที่ต้องใช้: ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ข่าวสาร ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า และติดตามสถานการณ์ทั้งในระหว่างและหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น

ระดับทักษะที่แนะนำ: ระดับกลางถึงขั้นสูง

7. การเทรดด้วย Trend (Trend Trading)

การเทรดด้วย Trend คือกลยุทธ์ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อคว้าโอกาสของตลาดโดยการระบุและปฏิบัติตามทิศทางของตลาด เทรดเดอร์พยายามที่จะเข้าซื้อ-ขายในทิศทางของ Trend และถือไว้จนกว่า Trend จะแสดงสัญญาณการกลับตัว

วิธีการนี้อาศัยหลักการที่ว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวใน Trend ที่ระบุได้ มากกว่ารูปแบบแบบสุ่ม นักเทรดด้วย Trend ใช้เครื่องมือและตัวบ่งชี้ต่างๆ เพื่อยืนยันทิศทางและความแข็งแกร่งของเทรนด์ เช่น เส้น MA , Trend Line, Average Directional Index (ADX)

นักเทรดตามเทรนด์มุ่งเน้นไปที่จุดสูงและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น และจุดสูงสุดที่ลดลงและจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าในแนวโน้มขาลง ในขณะที่จุดเข้าออเดอร์มักจะเป็น pullbacks หรือ Breakouts

ข้อดีของการเทรดด้วย Trend Line:

  • จุดเข้าและออกจะขึ้นอยู่กับสัญญาณต่อเนื่องของแนวโน้มหรือสัญญาณกลับตัว ซึ่งสามารถทําให้การตัดสินใจง่ายขึ้น
  • การซื้อ-ขายตามเทรนด์มักจะเป็นไปตามระบบที่อิงกฎเกณฑ์ ทำให้ง่ายต่อการจัดการอารมณ์และปฏิบัติตามแผนการซื้อ-ขาย
  • ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ทิศทางของตลาดในวงกว้าง การซื้อ-ขายตามแนวโน้มสามารถช่วยลดสัญญาณรบกวนของตลาดได้โดยการกรองความผันผวนในระยะสั้นออกไปป

ข้อเสียของการเทรดด้วย Trend Line:

  • เครื่องมือเช่นเส้นค่าเฉลี่ย MA อาจทำให้เกิดการเข้าและออกล่าช้า และอาจสูญเสียข้อมูลบางส่วนของการเคลื่อนไหวของราคา
  • ในตลาดที่เปลี่ยนแปลง การเทรดอาจเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนําไปสู่ความเสี่ยงของการสูญเสีย
  • การซื้อขายตาม Trend อาจมีประสิทธิภาพน้อยลงในตลาดที่มีความหลากหลายหรือตลาดที่มี Trend เป็น Sideways ซึ่งแนวโน้มไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน

ความเหมาะสมของตลาด: เหมาะสำหรับหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และคู่สกุลเงินฟอเร็กซ์ที่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวอย่างต่อเนื่อง

ระยะเวลาที่ต้องใช้: ประมาณ 2–4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการติดตามสถานะการเทรด

ระดับทักษะที่แนะนำ: ระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง

8. การเทรดในกรอบราคา (Range Trading)

การเทรดด้วยวิธี Range Trading เป็นกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์ระบุการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างสองราคา ซึ่งเรียกว่าระดับแนวรับและแนวต้าน กลยุทธ์เกี่ยวข้องกับการซื้อที่ระดับแนวรับ (ล่างสุดของช่วง) และการขายที่ระดับแนวต้าน (บนสุดของช่วง)

วิธีนี้จะอนุมานได้ว่าราคาจะยังคงต่อเนื่องในระหว่างระดับที่กำหนดไว้จนกว่าจะเกิดการทะลุกรอบ เทรดเดอร์แบบ Range Trading จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดที่ไม่มีแนวโน้มระยะยาวที่ชัดเจนและเคลื่อนไหวภายในขอบเขต

เครื่องมือสำคัญ ได้แก่ oscillators เช่น RSI และ Stochastic ซึ่งช่วยระบุสภาวะการซื้อเกินและการขายเกินภายในช่วง เทรดเดอร์ตามระยะยังจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของปริมาณและสัญญาณอื่น ๆ ของ Breakouts ที่อาจเกิดขึ้น

ข้อดีของการเทรด Range Trading:

  • ตลาด Range-bound จะมีโอกาสในการซื้อ-ขายที่หลากหลายเนื่องจากราคามีการผันผวนภายในช่วงดังกล่าว
  • แนวรับและแนวต้าน สามารถทําให้จุดเข้าและจุดออก ถูกกําหนดอย่างชัดเจน
  • การซื้อ-ขายแบบ Range Trading จะมีประโยชน์ในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม ซึ่งกลยุทธ์อื่นอาจมีโอกาสล้มเหลวสูงกว่า

ข้อเสียของการเทรด Range Trading:

  • ผลกำไรจะถูกจำกัดตามขอบเขตของช่วง ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายตามแนวโน้มที่กำไรอาจมากกว่า
  • เทรดเดอร์จำเป็นต้องจับตาดูตลาดบ่อยครั้งเพื่อระบุช่วงและจุด Breakouts
  • ราคาอาจทะลุออกจากช่วงโดยไม่คาดคิดหรือสร้างสัญญาณที่ผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่ผันผวนซึ่งราคาพุ่งสูงขึ้น

ความเหมาะสมของตลาด: เหมาะสำหรับฟอเร็กซ์และหุ้นที่อยู่ในสภาวะตลาดแกว่งตัวในกรอบ (Sideways)

ระยะเวลาที่ต้องใช้: ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวันในการติดตามแนวรับแนวต้านและช่วงราคา

ระดับทักษะที่แนะนำ: ระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง

องค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การเทรด

กลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญหลายประการ ซึ่งแต่ละส่วนถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณเทรดอย่างมีวินัยและสม่ำเสมอ:

  • การเลือกตลาด (Market selection): ตัดสินใจเลือกตลาดการเงินที่เหมาะกับความสนใจและทักษะของคุณ ตัวอย่างเช่น ตลาดฟอเร็กซ์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสภาพคล่องสูงและช่วงเวลาในการเทรดที่ยาวนาน ในขณะที่ตลาดหุ้นอาจเหมาะกับผู้ที่ชอบติดตามรายงานผลประกอบการและปัจจัยพื้นฐาน
  • ช่วงเวลาในการเทรด (Trading timeframe): เลือกช่วงเวลาการเทรดที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ คุณต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้นภายในวัน หรือจากแนวโน้มระยะยาวที่ใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการพัฒนา?
  • เกณฑ์การเข้าและออกจากการเทรด (Entry and exit criteria): กำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นกลางสำหรับการเปิดและปิดออร์เดอร์ ซึ่งอาจรวมถึงสัญญาณทางเทคนิค รูปแบบแท่งเทียน หรือเหตุการณ์เชิงปัจจัยพื้นฐาน
  • กฎการบริหารความเสี่ยง (Risk management rules): ระบุวิธีป้องกันเงินทุนของคุณอย่างชัดเจน โดยใช้เครื่องมืออย่างเช่น คำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-loss), การกำหนดขนาดสถานะที่เหมาะสม และการจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง
  • การประเมินผลการเทรด (Performance evaluation): ติดตามผลการเทรดของคุณอย่างต่อเนื่องเพื่อวัดผลกำไร อัตราการชนะ/แพ้ และความสม่ำเสมอ การประเมินผลจะช่วยให้คุณทราบว่าอะไรที่ได้ผล และสิ่งใดที่ควรปรับปรุง
  • การปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Adaptation and continuous improvement): ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีต้องสามารถปรับตัวได้ กำหนดเวลาในการทบทวนและปรับปรุงแผนการเทรดของคุณ เพื่อให้สอดรับกับสภาพตลาดในปัจจุบันและบทเรียนที่ได้เรียนรู้

การพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จ

การสร้างกลยุทธ์การเทรดตั้งแต่ต้นต้องการการวางแผนอย่างรอบคอบและความอดทน ทำตาม 7 ขั้นตอนนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์ที่เป็นไปได้จริงและยั่งยืน:

  • กำหนดวัตถุประสงค์การเทรดและโปรไฟล์ความเสี่ยงของคุณ: คุณต้องการการเติบโต รายได้ หรือการรักษาเงินทุน? รู้ระดับความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับได้
  • เลือกตลาดและช่วงเวลาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ: เลือกตลาดที่คุณสนใจ เช่น ฟอเร็กซ์ หุ้น คริปโต และช่วงเวลาการเทรดที่เหมาะสม เช่น สกัลป์ปิ้ง หรือ สวิงเทรด ให้สอดคล้องกับตารางเวลาของคุณ
  • ศึกษาวิจัยและออกแบบกลยุทธ์ด้วยกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน: วิเคราะห์พฤติกรรมของตลาด แล้วสร้างกฎการเข้าออกและการบริหารความเสี่ยงจากรูปแบบหรือข้อมูลที่เชื่อถือได้
  • ทดสอบย้อนหลังกับข้อมูลในอดีต: ก่อนนำเงินจริงมาใช้ ลองดูว่ากลยุทธ์ของคุณทำงานได้ดีแค่ไหนในอดีต โดยพิจารณาถึงการขาดทุนสูงสุด อัตราการชนะ และกำไรเฉลี่ย
  • ฝึกฝนบนบัญชีทดลอง: จำลองสภาพการเทรดจริงโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินทุนจริง เพื่อสร้างความมั่นใจและหาข้อบกพร่องในแผนของคุณ
  • เริ่มเทรดจริงด้วยขนาดสถานะเล็ก ๆ: เปลี่ยนมาใช้บัญชีจริงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้การเทรดขนาดเล็กเพื่อสะสมประสบการณ์โดยไม่เสี่ยงขาดทุนหนัก
  • ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ: จดบันทึกการเทรด วิเคราะห์ผลลัพธ์ และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

สรุปกลยุทธ์การเทรด

กลยุทธ์ ข้อดี ข้อเสีย
การเทรดสวิง (Swing Trading) - จับการเคลื่อนไหวของราคาระยะกลาง
- ใช้เวลาหน้าจอน้อยกว่า
- ต้องใช้ความอดทน
- เสี่ยงจากการถือข้ามคืน
การเทรดระยะยาว (Position Trading) - เน้นระยะยาว
- เทรดไม่บ่อย
- ความเครียดน้อย
- ต้องมีความรู้ตลาดในระดับสูง
- เงินทุนถูกผูกไว้นาน
การเทรดรายวัน (Day Trading) - ไม่มีความเสี่ยงจากการถือข้ามคืน
- มีโอกาสทำกำไรสูงจากความผันผวน
- ใช้เวลามาก
- กดดันทางอารมณ์และจิตใจสูง
การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action Trading) - กราฟสะอาด ไม่ใช้อินดิเคเตอร์
- ใช้ได้กับทุกตลาด
- ต้องเข้าใจพฤติกรรมราคาลึกซึ้ง
- การเข้าออเดอร์มีความ主観 (ขึ้นกับมุมมอง)
การเทรดอัลกอริธึม (Algorithmic Trading) - ดำเนินการอัตโนมัติและรวดเร็ว
- ไม่มีอารมณ์ในการเทรด
- ต้องมีทักษะการเขียนโค้ด
- ต้นทุนในการตั้งค่าและทดสอบย้อนหลังสูง
การเทรดข่าว (News Trading) - ใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
- สามารถทำกำไรได้รวดเร็ว
- ความเสี่ยงสูงจาก Slippage
- ต้องใช้เครื่องมือที่ดำเนินการได้เร็ว
สเกลปิ้ง (Scalping) - ชนะเล็ก ๆ บ่อยครั้ง
- ความเสี่ยงต่อออเดอร์แต่ละครั้งต่ำ
- เข้มข้นและใช้เวลามาก
- ต้นทุนสูงจากสเปรด
การตามแนวโน้ม (Trend Following) - จับการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ของตลาด
- มักมีกฎง่าย ๆ
- ใช้ไม่ได้ในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม
- เข้าออกออเดอร์ช้า

กลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดสําหรับคุณคืออะไร?

มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาในการตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับคุณที่สุด โดยมีรายการดังนี้:

  • สภาพจิตใจและลักษณะนิสัยของคุณ
  • ความตั้งใจและเป้าหมายในการเทรดของคุณ
  • เวลาที่คุณสามารถทุ่มให้กับการเทรด
  • อะไรที่ “รู้สึก” ว่าใช่

สภาพจิตใจและลักษณะนิสัยของคุณ: นอกจากสังเกตสิ่งที่คุณทำจะเป็นประโยชน์แล้ว การสังเกตสิ่งที่คุณไม่ทำก่อนการเทรดก็สำคัญพอๆ กัน ทั้งในด้านจิตใจและลักษณะส่วนบุคคล ยกตัวอย่างเช่น หากคุณไม่มีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ การเทรดตามชุดคำสั่งก็ไม่เหมาะกับคุณ ถ้าคุณมีทักษะการวิเคราะห์สูงการเทรดตามข่าวสารอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ หากคุณสามารถดูกราฟและตัดสินใจได้อย่างสบายๆ คุณอาจจะเหมาะกับการเทรดแบบสวิง ถือตำแหน่ง หรือแม้แต่การเทรดแบบรายวัน

เป้าหมายการเทรดของคุณคืออะไร ลองถามตัวเองดู คุณตั้งใจจะเทรดเต็มเวลาและให้การเทรดเป็นรายได้หลักเลยหรือเปล่า ถ้าคำตอบคือใช่ คุณอาจต้องลองศึกษาการเทรดระยะสั้นเช่นการเทรดแบบรายวัน แต่ถ้าคุณมองหารายได้เสริม การเทรดแบบสวิงหรือถือตำแหน่งอาจเหมาะกับคุณมากกว่า

คุณมีเวลาเทรดมากแค่ไหน ถ้าคุณไม่สามารถติดตามตลาดหุ้นได้อย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวัน คุณก็ไม่สามารถใช้การเทรดแบบรายวันได้ ถ้าคุณมีเวลาวิเคราะห์ตลาดและซื้อหุ้นอย่างจำกัดในแต่ละวัน การเทรดแบบถือตำแหน่งหรือสวิงอาจเหมาะกับคุณมากกว่า

อะไรที่คุณ “รู้สึก” ว่าใช่ ลองใช้กลยุทธ์การเทรดแบบต่างๆ ด้วยบัญชีจำลองเพื่อหาว่าวิธีการแบบไหนเหมาะกับคุณและกลยุทธ์แบบไหนที่ได้กำไร

แพลตฟอร์มสําหรับกลยุทธ์การซื้อ-ขายที่แตกต่างกัน

หากคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มใช้กลยุทธ์การซื้อ-ขายต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร หรือต้องการทดสอบระบบเทรดใหม่ๆ คุณสามารถทําได้ในบัญชีทดลองโดยไม่มีความเสี่ยงกับเงินทุนของคุณ

บัญชีทดลองเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทดลองกลยุทธ์ใหม่ในสภาพตลาดจริงและดูว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไรโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินทุนจริง คุณยังสามารถฝึกในบัญชีทดลอง จนกว่าคุณจะได้รับความมั่นใจในความสามารถในการซื้อ-ขายทุนของคุณในสภาพตลาดจริง

ด้วย Hantec Markets คุณสามารถลงชื่อสมัครใช้บัญชีทดลองและเข้าถึง MetaTrader4® และ Metatrader 5® เพื่อให้ได้ประสบการณ์การซื้อขายที่สมบูรณ์แบบพร้อมกับเครื่องมือที่เหมาะสมต้องการที่จะไปซื้อ-ขายโดยตรง? เปิดบัญชี Hantec Markets ในไม่กี่นาทีและเริ่มเทรด!

คุณยังสามารถอ่านเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดของเทรดเดอร์ทั่วไปและวิธีการสร้างแผนการเทรดที่ประสบความสําเร็จ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ถาม: ความแตกต่างหลักระหว่างสวิงเทรด (Swing Trading) กับเดย์เทรด (Day Trading) คืออะไร?
ตอบ: สวิงเทรดจะถือสถานะการลงทุนเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ขณะที่เดย์เทรดจะเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียวกัน สวิงเทรดต้องใช้เวลาติดตามประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนเดย์เทรดอาจต้องใช้เวลาจดจ่อกับตลาดตลอดทั้งวัน

ถาม: เทรดเดอร์จะใช้กลยุทธ์ราคาหุ้น (Price Action) อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ? 
ตอบ: โดยการชำนาญในแนวรับ/แนวต้าน รูปแบบแท่งเทียน และแนวโน้มกราฟ ราคาหุ้นจะทำงานได้ดีที่สุดกับกราฟที่สะอาด มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน และการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง

ถาม: การเทรดแบบอัลกอริธึมเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือเฉพาะเทรดเดอร์ขั้นสูง? 
ตอบ: การเทรดแบบอัลกอริธึมมักเหมาะกับเทรดเดอร์ขั้นสูงเท่านั้น เนื่องจากต้องมีการเขียนโปรแกรม ทดสอบ และติดตามผล ผู้เริ่มต้นควรฝึกเทรดด้วยตนเองก่อน

ถาม: ปัจจัยใดบ้างที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกกลยุทธ์การเทรด? 
ตอบ: ควรพิจารณาเรื่องเวลาที่คุณจะทุ่มเท ตลาดที่ชอบ ระดับความเสี่ยงที่รับได้ ทักษะ เงินทุน และความสามารถในการรักษาวินัยเมื่ออยู่ภายใต้ความกดดัน

ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหาของบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ใช่คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะในการซื้อขายในทุกรูปแบบ