สินค้าโภคภัณฑ์เป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจโลก มีอิทธิพลอย่างมากทั้งในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ และในชีวิตประจำวันของผู้คน การเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนสูง สภาพคล่องที่ดี และโอกาสในการกระจายความเสี่ยง ล้วนทำให้การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์เป็นที่ดึงดูดของนักเทรดอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม สินค้าโภคภัณฑ์ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด มาค้นหากันว่าคำว่าสินค้าโภคภัณฑ์หมายถึงอะไร แบ่งประเภทอย่างไร และในปี 2025 สินค้าโภคภัณฑ์ใดบ้างที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากปริมาณการซื้อขาย
สินค้าโภคภัณฑ์คือสินค้ามาตรฐานที่จับต้องได้ ซึ่งใช้สำหรับการผลิตและการบริโภค — สองกระบวนการพื้นฐานทางเศรษฐกิจ สินค้าเหล่านี้รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิต สินค้าทางการเกษตร โลหะมีค่า สัตว์มีชีวิต และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก:
ในการเงิน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์หมายถึงการซื้อขายสินค้าดังกล่าวในฐานะเครื่องมือทางการเงินบนตลาดซื้อขายที่มีการจัดตั้ง ซึ่งคล้ายกับการซื้อขายฟอเร็กซ์ หุ้น หรือดัชนี
การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับความนิยมจากนักเทรดด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการ:
ต่อไปนี้คือสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายมากที่สุดตามปริมาณในปี 2025 (ตั้งแต่ต้นปี):
| ชื่อสินค้าโภคภัณฑ์ | สัญลักษณ์ | ประเภท | ตลาดซื้อขาย | ปริมาณ (หน่วยสัญญา) |
|---|---|---|---|---|
| น้ำมันดิบ WTI | CL.1 | พลังงาน | ตลาด NYMEX | 420,000 |
| อะลูมิเนียม | AH.1 | โลหะอุตสาหกรรม | ตลาด LME | 260,000 |
| ทองคำ | GC.1 | โลหะมีค่า | ศูนย์ซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ | 210,000 |
| ทองแดง | HG.1 | โลหะอุตสาหกรรม | ศูนย์ซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ | 180,000 |
| ก๊าซธรรมชาติ | NG.1 | พลังงาน | ตลาด NYMEX | 130,000 |
| ถั่วเหลือง | S.1 | การเกษตร | ตลาด CBOT | 110,000 |
| ข้าวโพด | C.1 | การเกษตร | ตลาด CBOT | 100,000 |
| น้ำมันดิบเบรนต์ | LCO.1 | พลังงาน | ตลาด ICE Europe | 80,000 |
| น้ำตาล | SB.1 | การเกษตร | ตลาด ICE US | 75,000 |
| เงิน | SI.1 | โลหะมีค่า | ศูนย์ซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ | 65,000 |
| ข้าวสาลี | W.1 | การเกษตร | ตลาด CBOT | 55,000 |
*ข้อมูลอ้างอิงจากสัญญาฟิวเจอร์สของสินค้าโภคภัณฑ์ที่ติดตามโดย CNBC (และ LME สำหรับอะลูมิเนียม) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2025
น้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate) เป็นน้ำมันดิบคุณภาพสูงที่มีความเบาและมีความหวาน ผลิตเป็นหลักในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นหนึ่งในน้ำมันดิบมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับและมีการซื้อขายมากที่สุดในโลก ปริมาณการซื้อขายของ WTI ขับเคลื่อนโดยสถานะของมันในฐานะดัชนีอ้างอิงสำคัญสำหรับราคาน้ำมันในอเมริกาเหนือ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย:
ตลาดน้ำมันดิบ WTI มีความอ่อนไหวสูงต่อเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ การหยุดชะงักของอุปทาน และการเปลี่ยนแปลงในอุปสงค์ทั่วโลก นักเทรดจับตามองปัจจัยต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เช่น การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก (OPEC), ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคผู้ผลิตน้ำมัน และตัวชี้วัดเศรษฐกิจ เพื่อประเมินทิศทางราคาในอนาคต
อะลูมิเนียมเป็นหนึ่งในโลหะพื้นฐานที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายที่สุด มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การขนส่ง การก่อสร้าง ไปจนถึงการบรรจุภัณฑ์ ด้วยคุณสมบัติที่มีน้ำหนักเบาและนำไฟฟ้าได้ดี อะลูมิเนียมจึงกลายเป็นรากฐานสำคัญของห่วงโซ่อุปทานด้านการผลิตทั่วโลก สัญญาฟิวเจอร์สของอะลูมิเนียมเป็นหนึ่งในสัญญาที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก — โดยสัญญาบนตลาด LME เพียงแห่งเดียวมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยมากกว่า 260,000 สัญญาต่อวันในปี 2024 ซึ่งแสดงถึงสภาพคล่องที่สูงมาก
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย:
ปริมาณการซื้อขายของอะลูมิเนียมได้รับแรงหนุนจากความต้องการในภาคอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะจากภาคยานยนต์และอากาศยาน), ต้นทุนพลังงานในการผลิต (เนื่องจากการถลุงอะลูมิเนียมใช้พลังงานสูง), และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีผลต่ออุปทาน (ผู้ผลิตหลัก ได้แก่ จีนและรัสเซีย) นอกจากนี้ นโยบายการค้าและมาตรการภาษีก็มีผลกระทบอย่างมาก เช่น มาตรการภาษีล่าสุดต่อการนำเข้าอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ ทำให้ค่าพรีเมียมของอะลูมิเนียมพุ่งขึ้นถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคดำเนินกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง (hedging) อย่างจริงจัง ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อขาย
ทองคำเป็นโลหะมีค่าที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนและนักเทรดมาอย่างยาวนาน ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในโลหะที่มีการซื้อขายมากที่สุดทั่วโลก ความนิยมของทองคำส่วนใหญ่มาจากสถานะของมันในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe-haven) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันเงินเฟ้อได้
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย:
ปริมาณการซื้อขายทองคำได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ และการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงิน ในช่วงเวลาที่ตลาดเกิดความปั่นป่วน หรือเกิดการอ่อนค่าของสกุลเงิน นักลงทุนมักหันไปถือครองทองคำในฐานะแหล่งเก็บมูลค่า ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทองแดงเป็นโลหะอุตสาหกรรมสำคัญ ซึ่งมักได้รับฉายาว่า “Dr. Copper” เนื่องจากสามารถสะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจโลกได้เป็นอย่างดี ทองแดงถูกใช้อย่างแพร่หลายในโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้า การก่อสร้าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการผลิต ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทองแดงได้กลายเป็นดาวรุ่งในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยราคาที่พุ่งสูงขึ้นมาจากการคาดการณ์การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก และความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากกระแสการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด
การซื้อขายทองแดงพุ่งขึ้นถึงระดับสูงสุดในรอบหลายปี — โดยในปี 2024 ปริมาณฟิวเจอร์สทองแดงในตลาด CME ทะลุ 4 ล้านสัญญาต่อเดือนเป็นครั้งแรก ขณะที่นักเทรดจีนผลักดันปริมาณฟิวเจอร์สทองแดงในตลาด SHFE ให้แตะถึง 6.3 ล้านสัญญาในเดือนเมษายน
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย:
ปริมาณการซื้อขายทองแดงได้รับอิทธิพลจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลก กิจกรรมภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง รวมถึงการหยุดชะงักของอุปทานในประเทศผู้ผลิตหลัก (เช่น ชิลีและเปรู) กระแสการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น — เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า และระบบพลังงานหมุนเวียน — ได้เพิ่มความต้องการทองแดงในเชิงโครงสร้าง นอกจากนี้ การเก็งกำไรและการทำเฮดจ์ที่เกี่ยวข้องกับข่าวสารเชิงนโยบายยังช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อขาย เช่น การหารือเกี่ยวกับการเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตราสูงถึง 25% ได้สร้างความเสี่ยงสองทางและเพิ่มความผันผวนในตลาดอย่างมาก
ปัจจัยทั้งหมดนี้รวมกัน ทำให้ทองแดงกลายเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายมากที่สุดในปัจจุบัน
ก๊าซธรรมชาติเป็นทรัพยากรพลังงานที่สำคัญและมีปริมาณการซื้อขายสูง โดยเป็นแหล่งพลังงานที่มีการบริโภคมากเป็นอันดับสามของโลก รองจากน้ำมันและถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติถูกใช้อย่างแพร่หลายในการให้ความร้อน การผลิตไฟฟ้า และเป็นวัตถุดิบในกระบวนการอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย:
ปริมาณการซื้อขายก๊าซธรรมชาติได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น
เหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง เช่น คลื่นหนาวในฤดูหนาวหรือพายุเฮอริเคน อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก และส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเกิดความผันผวน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายเพิ่มขึ้น เมื่อผู้เข้าร่วมตลาดพยายามป้องกันความเสี่ยงหรือเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา
ถั่วเหลืองเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีความสำคัญอย่างมาก ใช้ทั้งเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายประเภท และเป็นอาหารสัตว์อนุพันธ์จากถั่วเหลือง เช่น น้ำมันถั่วเหลืองและกากถั่วเหลือง ก็เพิ่มความสำคัญให้กับตลาดนี้อีกด้วย ตลาดถั่วเหลืองเป็นองค์ประกอบหลักของการค้าระหว่างประเทศ โดยมีสหรัฐอเมริกา บราซิล และอาร์เจนตินา เป็นผู้ผลิตและส่งออกถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของโลก
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย:
ปริมาณการซื้อขายถั่วเหลืองได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ได้แก่ สภาพอากาศ (ซึ่งส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร) ความต้องการทั่วโลก (โดยเฉพาะจากประเทศผู้นำเข้าอย่างจีน) ความขัดแย้งทางการค้าและนโยบายระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ความตึงเครียดทางการค้าหรือการเก็บภาษีระหว่างประเทศผู้ผลิตกับประเทศผู้บริโภคอาจส่งผลต่อราคาอย่างมีนัยสำคัญ และกระตุ้นให้ผู้ส่งออก/ผู้นำเข้าดำเนินกลยุทธ์เฮดจ์เพื่อบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงในภาคการผลิตสัตว์ (ซึ่งมีผลต่อความต้องการอาหารสัตว์) ก็ส่งผลต่อกิจกรรมในตลาดถั่วเหลืองเช่นกัน
ข้าวโพด (หรือข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) เป็นพืชผลที่มีการเพาะปลูกอย่างกว้างขวางและมีปริมาณการซื้อขายสูง โดยมีความหลากหลายในการใช้งาน ทั้งเป็นอาหารหลักของหลายภูมิภาค ใช้เป็นอาหารสัตว์ และยังเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เอทานอล และพลาสติกชีวภาพ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย: ราคาข้าวโพดมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพอากาศ (ภัยแล้งหรือฤดูกาลที่เอื้อต่อการเพาะปลูกสามารถเปลี่ยนแปลงความคาดหวังด้านอุปทานได้อย่างมาก) นโยบายทางการเกษตรของรัฐบาล (รวมถึงข้อกำหนดเรื่องพลังงานชีวภาพ และเงินอุดหนุนภาคเกษตร) ความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพในตลาดโลก การผลิตเอทานอลจากข้าวโพดถือเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนความต้องการข้าวโพด หากราคาพลังงานหรือแนวทางนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลง ก็อาจส่งผลต่อการใช้ข้าวโพดในภาคพลังงาน และส่งผลต่อปริมาณการซื้อขายโดยตรง กล่าวคือ ปัจจัยใดก็ตามที่ส่งผลต่อดุลอุปสงค์และอุปทานของข้าวโพด — ตั้งแต่รายงานพื้นที่เพาะปลูก ไปจนถึงข้อตกลงการส่งออก — ล้วนมีอิทธิพลต่อกิจกรรมการซื้อขายของตลาด
น้ำมันดิบเบรนต์เป็นหนึ่งในดัชนีมาตรฐานสำคัญของราคาน้ำมันในตลาดโลก และเป็นเกณฑ์อ้างอิงที่ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายที่สุดในการกำหนดราคาน้ำมันดิบทั่วโลก น้ำมันชนิดนี้ได้รับการตั้งชื่อตามแหล่งน้ำมันเบรนต์ในทะเลเหนือ และทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดราคาสำหรับน้ำมันดิบหลากหลายประเภท โดยเฉพาะที่ผลิตในยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย: เช่นเดียวกับ WTI น้ำมันดิบเบรนต์มีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ การตัดสินใจของกลุ่ม OPEC+ และพลวัตของอุปสงค์และอุปทานในตลาดพลังงานโดยรวม โดยน้ำมันเบรนต์มักสะท้อนแนวโน้มของตลาดในยุโรปและเอเชีย นักเทรดจับตามองปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความมั่นคงในตะวันออกกลาง เส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ (เช่น ความติดขัดในคลองสุเอซหรือช่องแคบฮอร์มุซ) และมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศต่อชาติผู้ผลิตน้ำมัน เนื่องจากเบรนต์ถูกใช้ในการกำหนดราคาน้ำมันส่วนใหญ่ของโลก ผู้ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงและนักเก็งกำไรทั่วโลกจึงซื้อขายฟิวเจอร์สน้ำมันเบรนต์อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีปริมาณการซื้อขายสูงตลอดเวลา
น้ำตาลเป็นสินค้าโภคภัณฑ์อ่อนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก โดยมีการใช้งานหลากหลาย ทั้งในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการผลิตพลังงานชีวภาพ (เช่น เอทานอลจากอ้อย) และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่น ๆ น้ำตาลจากอ้อยและบีทรูท (หัวผักกาดน้ำตาล) ต่างก็มีส่วนร่วมในการผลิตน้ำตาลทั่วโลก
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย: ราคาน้ำตาลได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ สภาพอากาศ (ส่งผลต่อผลผลิตในประเทศผู้ผลิตหลัก เช่น บราซิล อินเดีย และไทย) นโยบายของรัฐบาล (เช่น เงินอุดหนุน หรือโควต้าการส่งออก)
ความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้บริโภค (เช่น ความต้องการสารให้ความหวานทางเลือก) นอกจากนี้ ข้อตกลงทางการค้าและมาตรการภาษีระหว่างประเทศยังสามารถส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายน้ำตาลระหว่างประเทศได้ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสร้างความผันผวนของราคา ซึ่งกระตุ้นให้นักเทรดใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง (hedging) หรือเก็งกำไร จึงส่งผลต่อปริมาณการซื้อขายโดยรวม
เงิน ซึ่งมักถูกเรียกว่า “ทองคำของคนทั่วไป” เป็นอีกหนึ่งโลหะมีค่าที่มีปริมาณการซื้อขายสูง ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัว เงินจึงมีบทบาทสองด้านในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: เป็นทั้งโลหะอุตสาหกรรม และเป็นแหล่งเก็บมูลค่า (คล้ายทองคำ) ทำให้ราคาของเงินได้รับอิทธิพลทั้งจากฝั่งการลงทุนและฝั่งอุตสาหกรรม
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย: ในด้านการลงทุน ปริมาณการซื้อขายเงินได้รับแรงผลักดันจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย ความคาดหวังต่อเงินเฟ้อ และความผันผวนของค่าเงิน เมื่อเกิดความไม่แน่นอน นักลงทุนมักเข้าซื้อเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยง ในด้านอุตสาหกรรม เงินมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ความต้องการพลังงานแสงอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เงินถูกใช้ในเซลล์แสงอาทิตย์มากขึ้น นอกจากนี้ ราคาของเงินที่ต่ำกว่าทองคำยังทำให้มันเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดรายย่อย ส่งผลให้เกิดการซื้อขายอย่างคึกคักและมีปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง
ข้าวสาลีเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และมีปริมาณการซื้อขายสูง เนื่องจากเป็นพืชธัญพืชหลักที่ใช้บริโภคทั่วโลก และเป็นแหล่งอาหารพื้นฐานทั้งสำหรับมนุษย์ (เช่น ขนมปัง พาสต้า) และสัตว์เลี้ยง มีพันธุ์ข้าวสาลีหลากหลายชนิด เช่น ฮาร์ดเรดวินเทอร์ ซอฟต์เรดวินเทอร์ และข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิ ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการซื้อขาย: การซื้อขายข้าวสาลีได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพอากาศ (ส่งผลต่อผลผลิตในภูมิภาคผู้ผลิตหลัก) โรคพืช ความต้องการอาหารทั่วโลกเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว — ภัยแล้ง น้ำท่วม คลื่นความร้อน — สามารถนำไปสู่การขาดแคลนอุปทานและราคาที่พุ่งสูงขึ้น ในขณะที่ผลผลิตที่ล้นตลาดอาจกดดันให้ราคาตกต่ำ นอกจากนี้ นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ข้อจำกัดในการส่งออก หรือข้อกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร ก็สามารถทำให้ปริมาณข้าวสาลีในตลาดโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความไม่แน่นอนเหล่านี้กระตุ้นให้ผู้ผลิต ผู้บริโภค และนักเก็งกำไรเข้ามาในตลาดล่วงหน้าเพื่อบริหารความเสี่ยงหรือแสวงหากำไรจากความผันผวนของราคา จึงทำให้ตลาดข้าวสาลีมีปริมาณการซื้อขายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดที่ต้องการใช้ประโยชน์จากความผันผวนสูงในตลาดประเภทนี้ เนื่องจากสามารถสร้างโอกาสทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ราคาขึ้นและราคาลง ขณะเดียวกัน สินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทที่มีปริมาณการซื้อขายสูง ยังให้สภาพคล่องที่ดี ด้วยจำนวนผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากในตลาด
นักเทรดสามารถเลือกซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มต่าง ๆ (เช่น พลังงาน โลหะมีค่า และสินค้าเกษตร) ผ่านเครื่องมือทางการเงินหลากหลายรูปแบบ เช่น ฟิวเจอร์ส ออปชัน CFD ETF หรือซื้อขายโดยตรงในตลาดสปอต
ขั้นตอนเริ่มต้นการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์:
ถาม: ปัจจัยใดขับเคลื่อนความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงาน เช่น น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ?
ตอบ: ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันหลัก การหยุดชะงักของอุปทาน (เช่น ความขัดแย้งหรือสภาพอากาศสุดขั้วที่ส่งผลต่อการผลิต) การเปลี่ยนแปลงในความต้องการทั่วโลกที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจ และการตัดสินใจขององค์กรอย่าง OPEC ล้วนมีอิทธิพลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงาน ปัจจัยเหล่านี้สร้างความผันผวนของราคาบ่อยครั้ง และบางครั้งก็รุนแรง
ถาม: ทำไมโลหะมีค่า เช่น ทองคำและเงิน จึงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย?
ตอบ: โลหะมีค่ามักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเพราะมีแนวโน้มจะรักษามูลค่า หรือเพิ่มมูลค่าในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนหรือเกิดวิกฤตในตลาด นักลงทุนและนักเทรดมักหันไปถือครองโลหะมีค่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของสกุลเงิน เงินเฟ้อ หรือวิกฤตทางการเงิน ซึ่งประวัติของทองคำและเงินในการทำหน้าที่ป้องกันความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจทำให้โลหะเหล่านี้เป็นที่นิยมในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน
ถาม: สภาพอากาศมีผลต่อสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง และข้าวโพดอย่างไร?
ตอบ: สภาพอากาศที่เลวร้าย เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม หรืออุณหภูมิสุดขั้ว สามารถทำลายผลผลิตพืชผล ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและทำให้ราคาสูงขึ้น ในทางกลับกัน สภาพอากาศที่เหมาะสมสามารถนำไปสู่ผลผลิตที่มากเกินไปและกดดันราคาให้ลดลง ดังนั้นนักเทรดและนักลงทุนจึงติดตามพยากรณ์อากาศและรูปแบบภูมิอากาศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออุปทานสินค้าเกษตร และตามมาด้วยราคากับปริมาณการซื้อขาย
ถาม: ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศส่งผลต่อสินค้าโภคภัณฑ์หรือไม่?
ตอบ: ส่งผลอย่างมาก ความขัดแย้งทางการค้าและข้อตกลงระหว่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่เดิม และเปลี่ยนแปลงพลวัตของอุปสงค์ ส่งผลให้เกิดความผันผวนของราคา ตัวอย่างเช่น หากประเทศหนึ่งเก็บภาษีนำเข้าโลหะ เช่น อะลูมิเนียมหรือทองแดง ราคาภายในประเทศอาจพุ่งขึ้น ซึ่งมีผลต่อความต้องการในประเทศและกระตุ้นให้นักเทรดดำเนินการป้องกันความเสี่ยง (hedging) ในทำนองเดียวกัน หากเกิดข้อตกลงการค้าใหม่ ก็อาจทำให้ตลาดเปิดกว้างขึ้น และทำให้ปริมาณการซื้อขายและราคามีการเปลี่ยนแปลง
ถาม: ความแตกต่างระหว่างสินค้าโภคภัณฑ์แข็ง (Hard Commodities) กับอ่อน (Soft Commodities) คืออะไร?
ตอบ: สินค้าโภคภัณฑ์แข็ง (Hard Commodities) คือทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องขุดเจาะหรือสกัด เช่น โลหะ (ทองคำ ทองแดง อะลูมิเนียม) และพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ) สินค้าโภคภัณฑ์อ่อน (Soft Commodities) คือสินค้าเกษตรหรือปศุสัตว์ เช่น ธัญพืช (ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง น้ำตาล) และสัตว์มีชีวิต (วัว หมู) สินค้าโภคภัณฑ์แข็งมักมีอายุการเก็บรักษานานกว่า และได้รับอิทธิพลจากอุปสงค์ภาคอุตสาหกรรมหรือปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์อ่อนจะขึ้นอยู่กับฤดูกาลการเพาะปลูก สภาพอากาศ และการเน่าเสียได้ง่าย จึงทำให้มีความผันผวนด้านราคาที่ต่างกัน
Top 5 Blogs