กลยุทธ์การกำหนดขนาดออเดอร์ (Position Sizing) และการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ดีที่สุด
เข้าใจถึงตำแหน่งสูงและตำแหน่งต่ำ และวิธีกำหนดขนาดตำแหน่งที่เป็นไปตามโอกาสที่เป็นไปได้และความอดทนของตนเองในการขาดทุน
เขียนโดย Aaron Akwu, Head of Education Hantec Markets
การกำหนดขนาดออเดอร์ (Position Sizing) เป็นส่วนสำคัญของการซื้อขายฟอเร็กซ์ที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้น หมายถึงกระบวนการกำหนดจำนวนหน่วยหรือล็อตที่เหมาะสมที่สุดเพื่อซื้อขายในคู่สกุลเงินหนึ่งๆ ตามปัจจัยต่างๆ เช่น เงินทุนในการซื้อขาย ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสภาวะตลาด
ขนาดออเดอร์ที่เหมาะสมเกี่ยวข้องกับการหาความสมดุลระหว่างการจัดสรรสัดส่วนในการซื้อขายให้เพียงพอต่อเงินทุนในการเทรดของคุณเพื่อใช้ประโยชน์จากผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น ทั้งยังลดความเสี่ยงของการขาดทุนที่มีนัยสำคัญให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยการใช้กลยุทธ์การกำหนดขนาดออเดอร์ที่มีประสิทธิภาพ เทรดเดอร์สามารถปกป้องเงินลงทุน เพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขาย และรักษาความสม่ำเสมอในแนวทางการซื้อขายของพวกเขา
เพื่อแสดงแนวคิดของกลยุทธ์การกำหนดขนาดออเดอร์ ลองพิจารณาตัวอย่าง ลองนึกภาพเทรดเดอร์ฟอเร็กซ์ที่มีทุนสำหรับการเทรด $10,000 ตัดสินใจเสี่ยง 2% ของเงินทุนในการเทรดเพียงครั้งเดียว ในกรณีนี้ ความเสี่ยงในการเทรดถูกกำหนดเป็น 2% ของ $10,000 ซึ่งเท่ากับ $200
ตอนนี้ สมมติว่าเทรดเดอร์ต้องการเปิดสถานะ Buy/Long ซึ่งคาดว่าราคาของสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น ในคู่สกุลเงิน EUR/USD ซึ่งกำลังซื้อขายอยู่ที่ 1.2000 หลังจากดำเนินการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานแล้ว เทรดเดอร์ระบุจุดเข้าที่เป็นไปได้ที่ราคา 1.1950 โดยมีระดับหยุดการขาดทุนที่ราคา 1.1900
ในการคำนวณขนาดออเดอร์ที่เหมาะสม เทรดเดอร์จำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงสำหรับการเทรดและการคำนวณส่วนต่างระหว่างราคาเข้าซื้อขายและระดับการหยุดขาดทุน (Stop Loss) แต่ละครั้ง ในตัวอย่างนี้ ผลต่างคือ 50 pips (1.1950 – 1.1900) กรณีนี้เมื่อทำการซื้อขายจะยอมเสี่ยงที่ $200 เพราะฉะนั้นเขาหรือเธอจึงต้องกำหนดขนาดล็อตให้เหมาะสมเพื่อรองรับความเสี่ยงนั้นๆ
โดยยึดตามขนาดออเดอร์ที่เหมาะสม เทรดเดอร์จะมั่นใจได้ว่าพวกเขากำลังเสี่ยงในจำนวนเงินที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าของเงินทุนในการซื้อขายของพวกเขาสำหรับการซื้อขายแต่ละครั้ง วิธีการนี้ช่วยให้พวกเขารักษาความสม่ำเสมอในการบริหารความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้พวกเขาสูญเสียเงินทุนมากเกินไปในการเทรดเพียงครั้งเดียว
ขนาดล็อต (Lot Size) สำหรับการเปิดออเดอร์เทรด
การทำความเข้าใจของขนาดล็อตประเภทต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดการความเสี่ยง (Managing Risk) และกำหนดขนาดออเดอร์ (Position Sizing) ในบัญชีเทรด ในบริบทนี้ เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะพิจารณากลยุทธ์การเทรดของตนอย่างรอบคอบและการยอมรับความเสี่ยงเพื่อเลือกขนาดล็อตที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเทรดของพวกเขา
มีขนาดล็อตหลัก 3 ประเภทที่ใช้กันทั่วไปในการซื้อขายฟอเร็กซ์ ได้แก่ ล็อตมาตรฐาน ล็อตขนาดเล็ก และไมโครล็อต ลองสำรวจตัวอย่างแต่ละประเภทเพื่อทำความเข้าใจความสำคัญเรื่องเหล่านี้ได้ดีขึ้น:
- ล็อตมาตรฐาน (Standard Lots): ล็อตมาตรฐานเท่ากับ 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลักในคู่สกุลเงิน ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อขายคู่สกุลเงิน EUR/USD โดยที่เงินยูโรเป็นสกุลเงินหลัก หนึ่งล็อตมาตรฐานจะเทียบเท่ากับ 100,000 ยูโร ในกรณีนี้ สมมติว่าคุณมีบัญชีเทรดที่มียอดคงเหลือ $50,000 ด้วยกลยุทธ์การซื้อขายที่อนุญาตให้ใช้ล็อตมาตรฐาน คุณสามารถดำเนินการซื้อขายมูลค่า $100,000 ในปริมาณสกุลเงินหลัก สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าโดยปกติแล้วล็อตมาตรฐานจะถูกใช้โดยเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มากกว่า เนื่องจากต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นและเงินทุนการซื้อขายที่มากกว่า
- มินิล็อต (Mini Lots): มินิล็อตเท่ากับ 10,000 หน่วยของสกุลเงินหลักในคู่สกุลเงิน โดยใช้ตัวอย่างเดียวกับข้างต้น หากคุณซื้อขายคู่สกุลเงิน EUR/USD ด้วยมินิล็อต การซื้อขายแต่ละครั้งจะเท่ากับ 10,000 ยูโร ในสถานการณ์สมมตินี้ ด้วยบัญชีเทรด $50,000 คุณสามารถเทรดได้มากถึง $20,000 ในปริมาณสกุลเงินหลักต่อการเทรด มินิล็อตมักเป็นที่ชื่นชอบของเทรดเดอร์ที่ต้องการเพิ่มประสบการณ์ในตลาดฟอเร็กซ์หรือผู้ที่มีบัญชีเทรดขนาดเล็ก
- ไมโครล็อต (Micro Lots): ไมโครล็อตคือขนาดล็อตที่เล็กที่สุดที่สามารถซื้อขายได้และเท่ากับ 1,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก ต่อเนื่องจากตัวอย่าง EUR/USD การซื้อขายด้วยไมโครล็อตหมายความว่าการซื้อขายแต่ละครั้งจะเทียบเท่ากับ 1,000 ยูโร ด้วยบัญชีเทรด $50,000 คุณสามารถเทรดได้มากถึง $2,000 ในปริมาณสกุลเงินหลักโดยใช้ไมโครล็อต ไมโครล็อตเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มนักเทรดผู้เริ่มต้นหรือเทรดเดอร์ที่มีเงินทุนจำกัด เนื่องจากช่วยให้สามารถกำหนดขนาดออเดอร์ และการจัดการความเสี่ยงได้ละเอียดยิ่งขึ้น
ความสำคัญของการกำหนดขนาดออเดอร์ต่อเทรดเดอร์
การกำหนดขนาดออเดอร์ในการเทรดฟอเร็กซ์มีความสำคัญซึ่งไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด การจัดการขนาดออเดอร์ของคุณอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบรรลุผลสำเร็จในระยะยาวและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่เน้นความสำคัญของขนาดออเดอร์:
- การลดความเสี่ยง (Minimizing Risk): การกำหนดขนาดออเดอร์ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมปริมาณความเสี่ยงที่พวกเขาเผชิญในการเทรดแต่ละครั้ง ด้วยการกำหนดเปอร์เซ็นต์คงที่ของทุนการเทรดของคุณที่จะเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้ง คุณจะมั่นใจได้ว่าไม่มีการซื้อขายใดๆ ที่มีปัจจัยหรือเหตุการณ์ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ วิธีการนี้ช่วยปกป้องเงินทุนของคุณและป้องกันการสูญเสียอย่างรุนแรง
- ความสม่ำเสมอในการบริหารความเสี่ยง (Consistency in Risk Management): Position sizing ให้แนวทางที่เป็นระบบในการบริหารความเสี่ยง แทนที่จะจัดสรรเงินทุนในจำนวนที่แตกต่างกันไปสำหรับกับการเทรดแบบส่งเดช วิธีเปอร์เซ็นต์คงที่ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความสม่ำเสมอ ช่วยให้คุณประเมินความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ และใช้หลักการจัดการความเสี่ยงเดียวกันกับการเทรดทั้งหมดของคุณ
- การป้องกันความผันผวนของตลาด (Protecting Against Market Volatility): การซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์เกี่ยวข้องกับความผันผวนอย่างแท้จริง ขนาดออเดอร์มีบทบาทสำคัญในการปกป้องบัญชีเทรดของคุณจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่คาดคิด คุณสามารถปรับขนาดสถานะของคุณตามความผันผวนของตลาดที่อาจเกิดขึ้น โดยพิจารณาตามความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
- การเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรให้สูงสุด (Maximizing Profit Potential): ขนาดออเดอร์ที่เหมาะสมยังสามารถเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรของคุณได้อีกด้วย หากคุณการจัดการขนาดออเดอร์อย่างระมัดระวัง คุณจะมั่นใจได้ว่าการเทรดของคุณมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า การหาสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำกำไรในระยะยาว
- เทียบได้กับการเทรดหุ้น (Comparable to Trading Stocks): การปรับขนาดออเดอร์ (Position sizing) ในการซื้อขายฟอเร็กซ์นั้นคล้ายกับการจัดการออเดอร์ในตลาดหุ้นหรือตราสารทางการเงินอื่นๆ มันเกี่ยวข้องกับการกำหนดจำนวนเงินทุนที่เหมาะสมเพื่อจัดสรรให้กับการซื้อขายแต่ละครั้ง โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดบัญชี การยอมรับความเสี่ยง และสภาวะตลาด การใช้เทคนิคการปรับขนาดตำแหน่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการเทรดหุ้นสามารถเป็นประโยชน์ในตลาดฟอเร็กซ์ได้เช่นกัน
วิธีการวางแผนการออกออเดอร์ในฐานะเทรดเดอร์
เมื่อพูดถึงเทคนิคการกำหนดขนาดออเดอร์ในตลาดฟอเร็กซ์ มีหลายวิธีที่คุณสามารถพิจารณาได้ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีประโยชน์และข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกันไป ลองสำรวจเทคนิคที่ใช้กันทั่วไป:
- ค่าเงินดอลลาร์คงที่ (Fixed Dollar Value):
วิธีหนึ่งในการกำหนดขนาดออเดอร์คือการใช้ค่าเงินดอลลาร์คงที่ เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับการกำหนดจำนวนเงินที่คุณยินดีเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้ง จากการจัดสรรจำนวนเงินทุนที่ถูกกำหนดไว้ คุณสามารถตั้งค่าขนาดออเดอร์ตามระดับการหยุดขาดทุนและจำนวนเงินสูงสุดที่คุณยินดีจะสูญเสีย ตัวอย่างเช่น หากคุณมีความเสี่ยงสูงสุดที่ $500 ต่อการเทรดและ Stop Loss ของคุณคือ 50 Pips คุณสามารถคำนวณขนาดออเดอร์เพื่อให้แน่ใจว่าการขยับ 50 Pips จะทำให้สูญเสียสูงสุดที่ $500 วิธีนี้ช่วยให้มีความสม่ำเสมอในการจัดการความเสี่ยงและให้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงสูงสุดของคุณ
- ความเสี่ยงเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่ต่อการเทรด (Fixed Percentage Risk per Trade):
อีกหนึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมคือการใช้ความเสี่ยงเป็นการกำหนดเปอร์เซ็นต์คงที่ต่อการเทรด ด้วยแนวทางนี้ คุณจะกำหนดเปอร์เซ็นต์ (%) การเทรดต่อทุนที่คุณยินดีเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้ง ตัวอย่างเช่น หากคุณตัดสินใจที่จะเสี่ยง 2% ของเงินทุนในการเทรดของคุณในการเทรดหนึ่งครั้ง คุณสามารถคำนวณขนาดออเดอร์ตามระยะหยุดการขาดทุนและเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจว่าขนาดออเดอร์จะปรับตามสัดส่วนของขนาดบัญชีเทรดของคุณ ช่วยให้คุณรักษาการจัดการความเสี่ยงที่สม่ำเสมอโดยไม่คำนึงถึงความเฉพาะเจาะจงของการเทรด
- มูลค่าขนาดสัญญา (Contract Size Value):
ขนาดออเดอร์ยังสามารถขึ้นอยู่กับมูลค่าขนาดสัญญาในตลาดฟอเร็กซ์ คู่สกุลเงินที่แตกต่างกันมีขนาดสัญญาที่แตกต่างกัน ซึ่งแสดงถึงจำนวนเงินของสกุลเงินหลักที่มีการซื้อขาย เมื่อพิจารณาขนาดของสัญญา คุณสามารถคำนวณขนาดออเดอร์ตามความเสี่ยงที่ต้องการต่อการเทรด ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเสี่ยง $1,000 ในการซื้อขายและขนาดสัญญาสำหรับคู่สกุลเงินที่คุณกำลังซื้อขายคือ 100,000 หน่วย คุณสามารถคำนวณขนาดออเดอร์ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ระดับความเสี่ยงที่คุณต้องการ เทคนิคนี้ช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในคู่สกุลเงินต่างๆ และขนาดสัญญาที่เกี่ยวข้อง
- เลเวอเรจ (Leverage):
เลเวอเรจเป็นส่วนสำคัญของการเทรดฟอเร็กซ์ และอาจส่งผลต่อขนาดออเดอร์ของคุณ Leverage ยังหมายถึงการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อขยายขนาดการซื้อขายของคุณ แม้ว่าเลเวอเรจจะสามารถเพิ่มผลกำไรได้ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงได้ด้วยเช่นกัน เมื่อรวมเลเวอเรจเข้ากับกลยุทธ์การปรับขนาดออเดอร์ของคุณ สิ่งสำคัญคือพิจารณาเลเวอเรจสูงสุดที่มีและการยอมรับความเสี่ยงของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยการปรับขนาดออเดอร์ตามเลเวอเรจที่ใช้ คุณสามารถจัดการความเสี่ยงของคุณได้อย่างปลอดภัยและควรหลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจที่มากเกินจำเป็น
- หลักเกณฑ์ของเคลลี่ (Kelly Criterion):
หลักเกณฑ์ของเคลลี่ (Kelly Criterion) เป็นเทคนิคการกำหนดขนาดของการออกออเดอร์ที่พิจารณาความน่าจะเป็นจากอัตราส่วนความสำเร็จและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงของการเทรดแต่ละครั้ง โดยมีสูตรทางคณิตศาสตร์เพื่อคำนวณขนาดออเดอร์ที่เหมาะสมที่สุดตามปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ สูตรนี้คำนึงถึงผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการเทรดและความน่าจะเป็นที่จะเทรดชนะ ช่วยให้เพิ่มการเติบโตในระยะยาวของคุณ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าเกณฑ์ของ Kelly บางครั้งสามารถแนะนำขนาดออเดอร์ที่ใหญ่กว่าที่เทรดเดอร์จำนวนมากพอใจ ดังนั้นจึงควรใช้วิธีแบบเศษส่วนของ Kelly เพื่อลดความเสี่ยงสูงสุดที่อาจเกิดขึ้น
Kelly % = W – [(1-W)/R]
โดยที่ K คือเปอร์เซ็นต์เงินทุนของนักลงทุนในการเทรด W คือความน่าจะเป็นของผลตอบแทนที่ดี และ R คืออัตราส่วนของการชนะโดยเฉลี่ยต่อการแพ้โดยเฉลี่ย
วิธีกำหนดขนาดออเดอร์
การคำนวณขนาดออเดอร์ในตลาดฟอเร็กซ์เป็นส่วนสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยง และอาจส่งผลต่อความสำเร็จในการเทรดของคุณอย่างมาก การกำหนดขนาดออเดอร์ที่เหมาะสมทำให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มผลกำไรของคุณที่อาจเกิดขึ้นได้ มาดูวิธีคำนวณขนาดออเดอร์ในตลาดฟอเร็กซ์กัน โดยใช้วิธีการกำหนด “Random Position Size” ในเนื้อหา
สำหรับขนาดออเดอร์โดยทั่วไปจะคำนวณตามปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ยอดเงินในบัญชี (Account Balance) เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง (Risk Percentage) และระยะห่างระหว่างราคาเข้าและระดับหยุดการขาดทุน เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคลที่สะท้อนถึงจำนวนเงินทุนสูงสุดที่คุณยินดีจะเสี่ยงในการซื้อขายแต่ละครั้ง สมมติว่าคุณตัดสินใจเสี่ยง 2% ของยอดเงินในบัญชีต่อการเทรด 1 ครั้ง
ในการคำนวณขนาดออเดอร์ คุณสามารถใช้สูตรต่อไปนี้:
ขนาดออเดอร์ (Position Size) = (เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงของ * ยอดเงินคงเหลือในบัญชี) / (ระยะห่างระหว่าง Stop Loss * Pip Value)
ลองพิจารณาตัวอย่างเพื่ออธิบายแนวคิดนี้ สมมติว่ายอดเงินในบัญชีของคุณคือ $10,000 และคุณยินดีรับความเสี่ยง 2% ($200) ในการเทรดนี้ คุณตัดสินใจซื้อคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ 1.2000 และตั้งค่า Stop Loss ของคุณที่ 1.1950 ส่งผลให้เกิดระยะห่าง 50 pips
ในการคำนวณมูลค่า pip คุณต้องทราบขนาด pip ของคู่สกุลเงินที่คุณกำลังซื้อขาย สมมติว่ามูลค่า pip สำหรับคู่ EUR/USD คือ $10 สำหรับล็อตมาตรฐาน (100,000 หน่วย)
เมื่อใช้สูตรนี้ ขนาดออเดอร์ (Position Size) จะเป็น:
ขนาดออเดอร์ = ($10,000 * 0.02) / (50 * $10)
ขนาดออเดอร์ = $200 / $500
ขนาดออเดอร์ = 0.4 ล็อตมาตรฐาน (Standard Lots)
ในตัวอย่างนี้ ขนาดออเดอร์ที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขายนี้คือ 0.4 ล็อตมาตรฐาน โดยใช้วิธีการกำหนด “Random Position Size”
โปรดทราบว่าการคำนวณขนาดออเดอร์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการยอมรับความเสี่ยงและกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ นอกจากนี้ โบรกเกอร์ที่แตกต่างกันอาจมีขนาดล็อตหรือตัวเลือกเลเวอเรจเฉพาะ ดังนั้นอย่าลืมปรับสูตรการคำนวณให้เหมาะสม
โดยการคำนวณขนาดออเดอร์ (Position Size) ของคุณ ขึ้นอยู่กับการยอมรับความเสี่ยงและระยะทางไปยังระดับการหยุดการขาดทุน (Stop-Loss Level) ของคุณ คุณสามารถจัดการความเสี่ยงในตลาดฟอเร็กซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้ช่วยให้คุณรักษาความสม่ำเสมอในแนวทางการเทรดของคุณ และปกป้องเงินทุนของคุณได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่มุ่งมั่นเพื่อทำกำไรจากการซื้อขาย
วิธีการลดความเสี่ยงโดยใช้กลยุทธ์ Position Sizing
ขนาดออเดอร์ (Position Sizing) เกี่ยวข้องกับการกำหนดปริมาณความเสี่ยงที่เหมาะสมที่คุณรับได้ในการเทรดแต่ละครั้ง โดยพิจารณาจากขนาดบัญชีของคุณ การยอมรับความเสี่ยง และลักษณะเฉพาะของการเทรด
คุณต้องพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:
- ขนาดบัญชี (Account Size): ประเมินขนาดบัญชีทั้งหมดของคุณและตัดสินใจว่าคุณสบายใจที่จะเสี่ยงมากน้อยเพียงใดในการซื้อขายครั้งเดียว โดยทั่วไปแนะนำให้เสี่ยงเพียงเล็กน้อยในบัญชีของคุณ เช่น 1-2% เพื่อป้องกันจากการขาดทุนเป็นจำนวนมากที่อาจเกิดขึ้น
- ตำแหน่ง Stop Loss: การกำหนดออเดอร์ของคำสั่ง Stop Loss ของคุณ ซึ่งเป็นระดับที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าซึ่งคุณจะออกจากการซื้อขายหากคำสั่งนั้นสวนทางกับคุณ การวาง Stop Loss ที่ดีสามารถจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นและช่วยให้คุณรักษาระดับความสี่ยงได้อย่างปลอดภัย
- ความผันผวนและคู่สกุลเงิน (Volatility and Currency Pair): พิจารณาความผันผวนของคู่สกุลเงินที่คุณกำลังซื้อขาย คู่เงินที่มีความผันผวนมากขึ้นจำเป็นต้องใช้ขนาดออเดอร์ที่เล็กลงเพื่อรักษาระดับความเสี่ยงที่ปลอดภัย ตัวชี้วัดการเคลื่อนไหวเฉลี่ยของช่วงราคาที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในอดีต (Average True Range – ATR) และตัวบ่งชี้ความผันผวนอื่นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
- อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio): ประเมินอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เป็นไปได้ของการซื้อขายแต่ละครั้ง อัตราส่วนที่สูงขึ้นหมายความว่าคุณอาจได้รับความเสี่ยงลดน้อยลงเพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น ควรตั้งเป้าหมายในการเทรดด้วยอัตราส่วนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ดี เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในขณะที่พยายามรักษาความเสี่ยงไว้
- ความถี่ในการเทรด (Trade Frequency): กำหนดจำนวนการซื้อขายที่คุณวางแผนที่จะเทรดพร้อมกันหรือภายในกรอบเวลาที่แน่นอน หากคุณซื้อขายหลายตำแหน่งพร้อมกัน ให้ปรับขนาดออเดอร์ (Position Size) สำหรับการซื้อขายแต่ละครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าความเสี่ยงโดยรวมของคุณยังคงอยู่ในขีดจำกัดความปลอดภัยที่กำหนดไว้ล่วงหน้า