CFDs are complex instruments and come with a high risk of losing money rapidly due to leverage. 69.39% of retail investor accounts lose money when trading CFDs with this provider.

You should consider whether you understand how CFDs work and whether you can afford to take the high risk of losing your money.

CFDs are complex instruments and come with a high risk of losing money rapidly due to leverage. 69.39% of retail investor accounts lose money when trading CFDs with this provider.

You should consider whether you understand how CFDs work and whether you can afford to take the high risk of losing your money.

Bollinger Bands Ultimate Guide

เครื่องมือวิเคราะห์ราคาทางเทคนิคยอดนิยมรูปแบบนี้จะสามารถเน้นบริเวณแนวรับและแนวต้านได้ เราจะแสดงให้คุณเห็นวิธีคำนวณ Bollinger Bands โดยใช้เส้นสามเส้นลากบนกราฟราคาใกล้กับ Standard Moving Average

Bollinger Bands คืออะไร

Bollinger Bands เป็นเครื่องมือการเทรดที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งคิดค้นโดย John Bollinger นักวิเคราะห์การเงินชาวอเมริกาในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1980 โดยใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ความผันผวนและประยุกต์ใช้กับแนวคิดเรื่องค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานทางคณิตศาสตร์เพื่อวัดความผันผวนของราคารอบๆ Moving Average จากนั้นจึงสร้างสัญญาณการเทรดขึ้นมา

ระหว่างช่วงที่การแกว่งตัวของราคาเพิ่มสูงขึ้น Bollinger Bands จะถ่างออกเพื่อคลุมช่วงดังกล่าว เมื่อการแกว่งตัวลดลง แถบก็จะเรียวลงตามไปด้วยโดยมีจุดศูนย์รวมที่แคบลงตามกรอบราคา

แถบบนจะเป็นค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานคูณด้วยค่าที่กำหนดเหนือ Simple Moving Average ส่วนแถบล่างจะเป็นค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานคูณด้วยค่าเดียวกันใต้ Simple Moving Average

ตัวแปรใดที่ควรนำมาใช้

ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็นแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่ได้รับการปรับเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคผ่าน Bollinger Bands ในทางสถิตินั้น ราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ใกล้ๆ ค่าเฉลี่ย ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ Simple Moving Average

ความเคลื่อนไหวของราคา 68% จะแกว่งตัวอยู่รอบๆ Moving Average โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 1.0 หากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 2.0 ความเคลื่อนไหวของราคาดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 95% แต่สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 99% หากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 3.0

ดังนั้น เมื่อราคาเริ่มปรับตัวไปยังหรือออกห่างจากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ก็อาจจะพิจารณาดูว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นความเคลื่อนไหวอย่างมากหรือไม่.

สำหรับการวิเคราะห์ในระยะกลาง Bollinger Bands มักจะตั้งค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานไว้ที่ 2.0 จาก Moving Average. 20 วัน ซึ่งหมายความว่าความเคลื่อนไหวของราคา 95% ควรอยู่ใน Bollinger Bands

อย่างไรก็ตาม คุณจะสามารถปรับค่าดังกล่าวให้เหมาะสมได้โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการลงทุน ตัวแปรที่แคบลงจะให้สัญญาณมากขึ้น แต่ก็จะเพิ่มโอกาสที่จะเกิดสัญญาณหลอกเนื่องจากมีโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงมากกว่าจนไม่อยู่ในแถบ

หากต้องการเทรดในระยะที่สั้นกว่า คุณอาจใช้ Moving Average 10 วันโดยตั้งค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 1.5 แต่หากต้องการเทรดในระยะที่ยาวขึ้น ให้ใช้ Moving Average 50 วันโดยตั้งค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 2.5

คุณควรดำเนินการศึกษาข้อมูลด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น การทดสอบกลยุทธ์การเทรดของคุณย้อนหลังเพื่อพิจารณาว่าตัวแปรใดที่เหมาะกับสไตล์การเทรดเฉพาะตัวของคุณมากที่สุด

การอ่าน Bollinger Bands

Bollinger Bands ไม่ได้ให้สัญญาณซื้อและขายหากใช้เพียงอย่างเดียว แต่ Bollinger Bands จะระบุว่าราคาสูงหรือต่ำหรือไม่ ซึ่งจะช่วยยืนยันโดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคตัวอื่นๆ

มีกฎทั่วไปสี่ข้อเมื่อใช้ Bollinger Bands:

  1. เมื่อราคาแตะแถบบนหรือแถบล่าง หากเครื่องมือวิเคราะห์ตัวอื่นบ่งบอกว่าความเคลื่อนไหวของราคาแสดงถึงความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอ ก็อาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ต่อเนื่อง หากเครื่องมือวิเคราะห์ตัวอื่นไม่ยืนยันความเคลื่อนไหวดังกล่าว ก็อาจบ่งชี้ถึงการกลับตัว
  2. โดยจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นนอกแถบซึ่งตามด้วยจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นในแถบจะบ่งชี้ถึงการกลับตัวของเทรนด์
  3. ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในแถบหนึ่งมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวไปยังอีกแถบ
  4. โดยการปรับตัวอย่างแรงอาจเกิดขึ้นหลังแถบบีบตัวลงไปหา Moving Average เนื่องจากราคาทะลุจากช่วงที่มีความผันผวนต่ำ ยิ่งช่วงที่มีความผันผวนต่ำกว่ายาวนานขึ้น ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดการทะลุสูงขึ้น

การใช้ Bollinger Bands เพื่อสร้างสัญญาณการเทรด

มีสามวิธีหลักที่ Bollinger Bands จะสามารถช่วยตัดสินใจในการเทรดได้ ซึ่งก็คือการทะลุ การกลับตัว และการเทรดในกรอบ

1. การทะลุ

เมื่อ Bollinger Bands แคบมาก จะเป็นสัญญาณว่าราคามีความแข็งแกร่งและมีความผันผวนต่ำมาก อย่างไรก็ตาม ความแคบดังกล่าวมักเกิดขึ้นใกล้ๆ กับก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างมาก ขณะที่มีการสร้างแรงดันขึ้น ราคาก็อาจเคลื่อนไหวทะลุอย่างกะทันหันโดยอาจพุ่งขึ้นหรือพุ่งลงก็ได้ ดังนั้น ให้ทำการเทรดในทิศทางที่เกิดการทะลุ

ในส่วนหนึ่งของการทะลุดังกล่าว ตลาดยังอาจเทรดนอกกรอบทั้งหมดที่เพิ่งกางออกของ Bollinger Bands ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความเคลื่อนไหวมีความแข็งแกร่ง

รูปภาพที่ 2: Bollinger Bands ของ EUR/USD เกิดการทะลุ

รูปภาพที่ 3: การกลับตัวโดยใช้ Bollinger Bands ของทองคำ

2. การกลับตัว

เทรดเดอร์อาจจะใช้แถบบนและแถบล่างเพื่อช่วยระบุการกลับตัวของราคาที่อาจเกิดขึ้น เมื่อกรอบประจำวันอยู่นอกช่วงของ Bollinger Bands ทั้งหมด จะเป็นการบ่งชี้ว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะเกิดการกลับตัว

ซึ่งเป็นสัญญาณที่สะท้อนว่าตลาดมีกำลังมาก (ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวขึ้นหรือลง) และหากเป็นกรณีการร่วงลงแรง ก็มักจะเห็นความเคลื่อนไหวอย่างมากเป็นพิเศษก่อนที่ตลาดจะเริ่มย่อตัว

สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะถือเป็นสัญญาณการกลับตัวอย่างไรเมื่อแถบห่างจากกันอย่างมาก ซึ่งต่างจากสัญญาณการทะลุเมื่อแถบเพิ่งเริ่มต้นขยายตัวออก

สัญญาณเช่นนี้จะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อมีการทำจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดครั้งที่สองอยู่ภายในแถบ

รูปภาพที่ 3: การกลับตัวโดยใช้ Bollinger Bands ของทองคำ

3. การเทรดในกรอบ

ในตลาดที่มีความแข็งแกร่ง เทรดเดอร์อาจจะใช้แถบทั้งคู่เป็นเกณฑ์สำหรับแนวรับและแนวต้าน โดยคำแนะนำอาจจะเป็นการซื้อเมื่อราคาแตะแถบล่าง จากนั้นให้ขายอีกครั้งเมื่อราคาแตะแถบบน

รูปภาพที่ 4: การเทรดในกรอบโดยใช้ Bollinger Bands ของ USD/JPY

bollinger bands
เปิดเมนูสืบค้นเนื้อหา
เปิดเมนูสืบค้นเนื้อหา

พร้อมเริ่มต้นเทรดหรือยัง

Line-website.png